ค่ายรถ “ญี่ปุ่น-ยุโรป” วิกฤต ดิ้นสู้ EV จีน ฮอนด้าไทยกำลังผลิตหาย 40%

CAR

อุตสาหกรรมรถยนต์โลกวิกฤตหนัก ค่ายญี่ปุ่น-ยุโรป เจอ EV จีนถล่มชิงส่วนแบ่งตลาดด้วยต้นทุนต่ำ ชี้แนวโน้มคนหันหลังให้กลุ่มรถสันดาปซบรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น “ฮอนด้า” ผนึกกำลัง “นิสสัน” จ่อควง “มิตซูบิชิ” ร่วมรับมือเร่งขยายวอลุ่มกลุ่มรถใช้มอเตอร์เต็มสูบ แย้มในไทยลดกำลังผลิต 40% ตามภาวะตลาดหดตัว

เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า นับวันยิ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีบางช่วงเวลาตลาดสะดุดลงไปบ้าง แต่ด้วยกำลังการผลิตที่เหลือล้นโดยเฉพาะในกลุ่มรถจีนทำให้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ค่ายจีนซึ่งมีวอลุ่มมหาศาลสามารถทำต้นทุนได้ต่ำกว่ายืนเหนือคู่แข่งทั้งจากแบรนด์จากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ส่งผลให้โลกยานยนต์วันนี้เกิดปรากฏการณ์ผนึกกำลังกันเพื่อต่อกรกับค่ายจีน

ฮอนด้า-นิสสัน-มิตซูฯ รวมพลังสู้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่ายรถญี่ปุ่นหลายค่ายประสบปัญหาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไม่ทันรถยนต์ไฟฟ้าจีน ส่วนบางค่ายตั้งใจเลือกพัฒนาเทคโนโลยีอื่น ไม่โฟกัสรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่เทรนด์การใช้รถยนต์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนไป ยอดขายรถยนต์สันดาปมีแนวโน้มจะลดลงเรื่อย ๆ เห็นได้จากยอดส่งออกรถยนต์ที่รถยนต์ญี่ปุ่นพ่ายแพ้เสียแชมป์ที่ครองมาอย่างยาวนานให้รถยนต์ไฟฟ้าจีนไปแล้วตั้งแต่ปี 2566

นิสสัน มอเตอร์ เป็นค่ายรถญี่ปุ่นที่อ่อนแอสุดในบรรดาค่ายใหญ่ ๆ ปัญหาความอ่อนแอของนิสสันมีเป็นข่าวให้เห็นมาแล้วหลายเดือน จนกระทั่งเป็นข่าวใหญ่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อนิสสันปรับลดคาดการณ์กำไร และระบุว่าจะต้องเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คนทั่วโลก อีกทั้งยังประกาศลดการผลิตทั่วโลกลง 20%

ความพยายามต่อสู้ในอุตสาหกรรมที่ยากลำบากของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นมีให้เห็นหลายระดับ ตั้งแต่ ฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ ศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในด้านยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและการเคลื่อนที่อัจฉริยะ

จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม มีข่าวความเคลื่อนไหวใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่น คือ ฮอนด้ากับนิสสันกำลังเจรจาควบรวมกิจการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจะร่วมตั้งบริษัทโฮลดิ้ง (บริษัทที่ถือหุ้นในกิจการอื่นเป็นหลัก) ขึ้นมา และตั้งเป้าที่จะนำมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งนิสสันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด (สัดส่วนการถือหุ้น 24%) เข้าไปอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งนี้ด้วย ซึ่งจะทำให้บริษัทใหม่นี้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจรถยนต์ขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งของโลก

ADVERTISMENT

ค่ายยุโรปเหนื่อยหนักปิดโรงงาน

ขณะที่ฝั่งค่ายรถยนต์ยุโรป กำลังเหนื่อยยากกับการแข่งขันทั้งในตลาดโลกและตลาดยุโรปเอง ทั้งปัจจัยลบเรื่องการผงาดขึ้นมาของคู่แข่งจากจีน และดีมานด์ที่หดตัวลง อีกทั้งยังเผชิญแรงกดดันที่ต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่การขายรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษตามที่กฎหมายของสหภาพยุโรปกำหนด ซึ่งหลายค่ายรถยุโรปยังไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์พลังงานสะอาดอื่น ๆ

การแข่งขันอันรุนแรงและต้นทุนในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ส่งผลให้แม้แต่โฟล์คสวาเกน ค่ายรถสัญชาติเยอรมันซึ่งเป็นค่ายรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปยังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ต้องประกาศปิดโรงงานผลิตในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ 87 ปีของบริษัท

ADVERTISMENT

ส่วนอาวดี้ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของโฟล์คสวาเกนวางแผนจะยุติการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงงานในเบลเยียมทั้งหมดภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งคาดว่าจะเลิกจ้างพนักงาน 3,000 คน

ฝั่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ และปอร์เช่ ประกาศว่าจะเพิ่มมาตรการลดต้นทุน หลังจากพบว่ากำไรจากการดำเนินงานในตลาดจีนลดลง

ไม่ต่างจากกลุ่มสเตลแลนทิส ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ 14 แบรนด์ อย่างเช่น จี๊ป, เฟียต, เปอโยต์, ซีตรอง ฯลฯ ก็มีผลการดำเนินงานที่แย่ลง โดยมีการเตือนนักลงทุนว่าผลกำไรจากการดำเนินงานในปี 2567 อาจลดลง สาเหตุหลัก ๆ มาจากยอดขายชะลอตัวลงในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของบริษัท และด้วยผลงานที่ไม่สู้ดี สเตลแลนทิสได้กดดันให้ คาร์ลอส ทาวาเรซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทลาออกเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังมีแผนปิดโรงงานในอังกฤษด้วย

ยอดขายรถในยุโรปหดตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ยอดขายรถยนต์ของยุโรปในหลายเดือนก่อนหน้านี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และล่าสุดมีข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) ระบุว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปในเดือนพฤศจิกายนร่วงลง 2% จากปีก่อนหน้า (YOY) โดยขายได้ 1.06 ล้านคัน

ขณะที่ในสหราชอาณาจักรมีรายงานว่าการผลิตรถยนต์ลดลงติดต่อกัน 9 เดือน (มีนาคมถึงพฤศจิกายน) ท่ามกลางดีมานด์ที่อ่อนแอทั้งในสหราชอาณาจักรและทั่วยุโรป โดยในเดือนพฤศจิกายนผลผลิตลดลง 30% (YOY) เหลือประมาณ 64,200 คัน ซึ่งนับเป็นยอดเดือนพฤศจิกายนที่แย่ที่สุดในรอบ 44 ปี และไม่มีบริษัทรถยนต์รายใดที่ผลิตมากกว่าปีก่อนหน้า

ยันแยกสันดาปรวมเฉพาะ EV

แหล่งข่าวฝ่ายบริหาร บริษัท นิสสัน ประเทศไทย และนิสสัน อาเซียน กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวทางความร่วมมือของนิสสันและฮอนด้าพร้อมทั้งทำ MOU ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองบริษัทจะศึกษาความเป็นไปได้ในการบุกตลาด EV และการเคลื่อนที่อัจฉริยะอย่างจริงจังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันกับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา

ส่วนที่ต้องตั้งเป็นโฮลดิ้งคอมปะนี เป้าหมายเพื่อความชัดเจนโดยเฉพาะในแง่การลงทุนของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างจากความร่วมมือของกลุ่มค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะแค่แลกเปลี่ยนเทคโนโลยี แต่เที่ยวนี้จะแบ่งงานกันอย่างชัดเจน โดยสิ่งที่คาดหวังเป็นประเด็นแรกคือวอลุ่มใหญ่ขึ้น เนื่องจากจะเป็นตัวหลักที่ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงและสามารถแข่งขันได้

“ด้านเทคโนโลยีตัวรถ มอเตอร์ คงไม่ต่างกันมาก แต่ที่จะเห็นความได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างชัดเจนคือแบตเตอรี่ ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าจีนไปได้ไกลกว่ามาก ส่วนตลาดรถยนต์สันดาปจะร่วมกันด้วยหรือไม่ คำตอบตอนนี้คือไม่ แต่ละยี่ห้อดำเนินการไปตามปกติ”

ก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2559 นิสสันได้เข้าไปถือหุ้นในมิตซูบิชิในสัดส่วน 34% ก่อให้เกิดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในส่วนงานต่าง ๆ ทั้งด้านการจัดซื้อ ด้านโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์ การแบ่งปันด้านเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์จากโรงงาน และประโยชน์ทางด้านการตลาดที่เติบโตเพื่อส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งระหว่างค่ายรถยนต์ทั้งสองค่าย

ในไทยยังไม่ชัดเจน

แหล่งข่าวจากบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกรณีฮอนด้า มอเตอร์ และนิสสัน มอเตอร์ จะเข้าสู่การเจรจาควบรวมกิจการนั้นถือเป็นความร่วมมือระดับโลก ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีนโยบาย หรือรายละเอียดใด ๆ ออกมายังประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยจะเป็นสิ่งที่แต่ละบริษัทมีความถนัดและจุดแข็งมาพัฒนาร่วมกัน ทั้งสินค้า, เทคโนโลยี, การผลิต ส่วนรายละเอียดต่างยังไม่มีการเปิดเผยใด ๆ แต่ที่แน่นอนคือ ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นมีความแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันต่อไปได้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับประเทศไทย ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ฮอนด้าได้ประกาศปรับแผนผลิตรถยนต์ 2 โรงงานในประเทศไทยใหม่ ปูทางสู่ตลาดรถยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า หรือ xEV โดยย้ายไลน์ผลิตรถยนต์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปรวมที่นิคมโรจนะในจังหวัดปราจีนบุรีทั้งหมด และฮอนด้ายืนยันไม่ย้ายฐานจากไทย

แผนดังกล่าวเป็นแผนปฏิรูปฟังก์ชั่นสายการผลิตรถยนต์ของไทย เพื่อดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถการผลิตรถยนต์สำเร็จรูป รวมถึงการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ xEV เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่พึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ทั้งนี้ โรงงานผลิตรถยนต์ในจังหวัดปราจีนบุรีถูกพัฒนาเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปที่สมบูรณ์แบบ โดยการใช้ประโยชน์จากสายการผลิตที่ผสมผสานเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความสามารถในการรองรับธุรกิจ ปัจจุบันมีกำลังผลิต 120,000 คัน

ลดกำลังการผลิต 40%

แหล่งข่าวฝ่ายบริหารฮอนด้าระบุว่า โรงงานเดิมที่อยุธยาจะพัฒนาเป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วน โดยใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่เราได้มีการพัฒนาและสั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีแทน ซึ่งทำให้กำลังผลิตรถยนต์ของฮอนด้าในประเทศไทย เหลือเพียงโรงงานปราจีนบุรีเพียงแห่งเดียวที่มีกำลังผลิต 120,000 คันต่อปี

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา สำนักข่าว NHK เคยรายงานว่า ผู้บริหารฮอนด้า มอเตอร์ ญี่ปุ่น กำลังวางแผนลดกำลังการผลิตรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยลงราว ๆ 50% จากเหตุผลตลาดรถยนต์โลกหดตัว และการแข่งขันที่ดุเดือดจากค่ายรถยนต์จีน โดยฮอนด้าในประเทศเคยมีกำลังการผลิตสูงถึง 2.7 แสนคัน เท่ากับว่ากำลังการผลิตหายไปไม่น้อยกว่า 40%