
ยามาฮ่าเดินหน้าตอกย้ำแบรนด์ ชูจุดแข็ง-สร้างความแตกต่างในตลาด เน้นความเป็นพรีเมี่ยม ไม่เน้นแข่งราคา พร้อมสร้างคุณภาพตลาด งัดแผนส่งรุ่นใหม่-รุ่นพิเศษดันยอด หวังขายทั้งปี 2.47 แสนคัน ก่อนเข้าสู่แผนภายใน 3 ปี กลับไปมีมาร์เก็ตแชร์ระดับ 28-30%
นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า ยามาฮ่าจะมุ่งเน้นนโยบายการทำตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาให้ลูกค้า และการพัฒนาและทำงานร่วมกับผู้แทนจำหน่ายอย่างเข้มข้นมากขึ้น
โดยเน้นการเข้าไปเจาะในแต่ละพื้นที่ โดยมีการออกรูปแบบการทำตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ และการทำงานและความร่วมมือกันอย่างรอบด้าน ทั้งยามาฮ่า ดีลเลอร์ ตัวแทนจำหน่าย บริษัทไฟแนนซ์ เพื่อช่วยคัดกรองลูกค้าให้ความรู้กับลูกค้า เพื่อให้สามารถเข้าถึงรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า และสามารถเป็นเจ้าของรถได้อย่างง่ายขึ้น
“ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขายรถได้ยากขึ้น เพราะไฟแนนซ์ไม่พรูฟ การอนุมัติส่วนใหญ่จะให้กับลูกค้าที่มีเงินก่อน แต่สำหรับลูกค้าในพื้นที่เรดโซน กลุ่มลูกค้าไม่มีเงิน แต่มีความต้องการใช้รถยามาฮ่า ดีลเลอร์ และไฟแนนซ์ต้องช่วยลูกค้า เตรียมความพร้อมปรับตัวเอง ให้สามารถมีเงินมาดาวน์รถให้ได้ก่อน อย่างกลุ่มที่ประกอบอาชีพอิสระ เราก็ต้องหาไฟแนนซ์ที่ตรงกลุ่มเข้าไปรองรับตรงนี้”

ปีนี้ยามาฮ่าก้าวเข้าสู่ปีที่ 61 บริษัทต้องเดินหน้าต้องย้ำความเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ผ่าน 3 จุด หลักภายใต้แนวคิด “สุดทุกทาง ต่างทุกฟีล” (Feel The Unique Experience) ได้แก่ 1.สุดทุกทางด้านการดีไซน์ เทคโนโลยี 2.สุดทุกทางด้านการบริการ 3.สุดทุกทางด้านการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ ลูกค้าที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างในการทำตลาด ควบคู่ไปกับนโยบายไม่ร่วมแข่งขันด้านราคา แต่ต้องการมุ่งเน้นความเป็นแบรนด์พรีเมี่ยม
สำหรับแนวทางการตลาดที่ยามาฮ่ามุ่งเน้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งบริษัทแม่จะเน้นทำการตลาดในส่วนกลางผ่านสื่อต่าง ๆ ทีมฝ่ายการตลาดออกแบบพัฒนาสื่อ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าที่หลากหลาย เช่น เข้าไปสอนตัวแทนจำหน่าย ออกแบบ ทำสื่อเอง ผ่านโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าในพื้นที่นั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่การจำหน่ายหน้าร้าน หรือกิจกรรมออนกราวนด์ ยามาฮ่าเน้นการทำงานร่วมกับไฟแนนซ์ เพื่อช่วยคัดกรองและให้ความรู้ลูกค้าถึงเงื่อนไข รายละเอียดการออกรถ ว่า สิ่งที่ไฟแนนซ์ต้องการหรือกำหนด เพื่อออกรถให้ง่ายขึ้น ซึ่งยามาฮ่าจะทำต่อเนื่อง
สำหรับปี 2568 ยามาฮ่าตั้งเป้าว่า จะมียอดขายไม่น้อยกว่า 247,000 คัน โต 7% มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 14.5% เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ยามาฮ่ามียอดขายที่ 232,000 คัน มีส่วนแบ่งที่ 13.8% และมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลงไป 0.8% ซึ่งบริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด
ขณะที่ตลาดรวมมียอดรวมที่ 1.71 ล้านคัน ลดลง 9% สาเหตุที่ยอดขายในปี 2567 มียอดลดลงนั้น เนื่องจากตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวม และยามาฮ่าต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากหนี้สินครัวเรือนมีอัตราสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน มีหนี้ครัวเรือนที่สูงเกินตัว
แต่เนื่องจากรถจักรยานยนต์ยังถือเป็นสินค้าที่มีความจำเป็น แม้ว่าสถาบันการเงินจะมีความเข้มข้น และอนุมัติสินเชื่อที่ค่อนข้างยาก แต่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถจักรยานยนต์ก็ยังคงมีอยู่
ส่วนการแข่งขันในปีนี้ หลังจากปี 2567 ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่กลุ่มรถจักรยานยนต์ออโตเมติกมียอดขายมากกว่ารถแบบโมเป็ด (ครอบครัว) โดยรถออโตเมติกมีสัดส่วนจาก 42% เพิ่มเป็น 52% ขณะที่รถโมเป็ดลดลงจาก 52% เหลือแค่ 42%
ทั้งนี้ภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ ยามาฮ่าตั้งเป้าว่า จะพยายามเดินหน้ากลับไปยังจุดที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดที่ 28-30% ให้ได้
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์ออโตเมติก อย่าง Yamaha NMAX ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มียอดขายรวมมากกว่า 4.3 ล้านคันทั่วโลก ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ อย่างเทคโนโลยี Y-ECVT เข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในระบบเกียร์อิเล็กทรอนิกส์มาช่วยควบคุมระบบส่งกำลัง (เกียร์) เพื่อทำให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ยามาฮ่าคาดหวังว่า Yamaha NMAX จะช่วยผลักดันยอดขายรถเซ็กเมนต์นี้ให้โตได้ 50% จากปัจจุบันมีอยู่ราว ๆ 25% และยามาฮ่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มรถจักรยานยนต์ออโตเมติก 155 ซีซี จาก 22% เพิ่มเป็น 27-30% ให้ได้
ด้านนายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ยามาฮ่าได้เตรียมสินค้า เพื่อแนะนำออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ครบทุกเซ็กเมนต์ทั้งรุ่นพิเศษ และรุ่นใหม่ ด้วยการทำราคาออกมาให้สามารถแข่งขันได้ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น
“เราจะไปดูว่าเมื่อลูกค้าซื้อรถเราไป เขาไปแต่งอะไรเพิ่ม ยามาฮ่าก็จะจับมาแมตช์กับรถรุ่นใหม่ รุ่นพิเศษ โดยทำจากโรงงานแทน เพื่อให้ลูกค้าซื้อรถได้แบบมั่นใจ ทั้งความคุ้มค่าและคุณภาพสินค้า ไม่ต้องไปแต่งเอง และเป้าหมายตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 1-2% นั้น ถือว่าไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับยามาฮ่า”