โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ลีดเดอร์ เอส ขับเท่ คุ้มค่า ‘เกินราคา’

คอลัมน์ : เทสต์คาร์
ผู้เขียน : วุฒิณี ทับทอง

ถือเป็นผลิตผลจากความสำเร็จของโครงการไอเอ็มวี (International Innovative Multipurpose Vehicle) ที่โตโยต้า วางกลยุทธ์ให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพ 1 ตัน และรถอนุพันธ์อเนกประสงค์ (PPV) มียอดขายสะสม ตั้งแต่ปี 2547-ก.ย. 2567 มากกว่า 4.73 แสนคัน ส่งให้โตโยต้ายืนหนึ่งผู้นำรถ PPV มายาวนานถึง 12 ปีซ้อน

เพื่อเพิ่มความสดใหม่ ขยายโอกาสทางการตลาด โตโยต้า ส่ง ฟอร์จูนเนอร์ รุ่นลีดเดอร์ เอส (FORTUNER LEADER S) มาเอาใจลูกค้า ให้เข้าถึงรถรุ่นนี้ได้ง่ายขึ้น โดยปรับออปชั่น-ราคา แต่คงไว้ซึ่งความสะดวกสบายไว้อย่างครบครัน ทั้งคุณภาพ ความคุ้มค่า คุ้มราคา

แน่นอนว่าโตโยต้า ขึ้นไก หวังผลจากการเล็งศูนย์หน้า ไปที่กลุ่มลูกค้าผู้ใช้งานทั่วไปแล้ว ยังหวังผลจากการเล็งศูนย์หลัง ไปยังกลุ่มตลาดฟลีต หรือลูกค้าองค์กร ที่ซื้อรถเป็นลอตใหญ่ รวมถึงธุรกิจรถเช่าซึ่งให้ความนิยมรถประเภทนี้เพราะต้นทุนไม่สูงมาก ออปชั่นเพียงพอต่อการใช้งาน แถมวางใจงานบริการหลังการขายได้ที่ศูนย์โตโยต้ากว่า 450 แห่งทั่วประเทศ เรียกว่าเพียงพอให้บริการด้วยความสบายใจ เป็นอันจบ

“กระสุน” นัดนี้ หวังผลได้ชะงัด โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์รุ่นลีดเดอร์ เอส ราคา 1.239 ล้านบาท

ถามว่าความแตกต่างระหว่างรุ่นย่อยที่สูงกว่าแค่ไหน โดยหลัก ๆ ของรูปร่างหน้าตา มองผาด ๆ ไม่ได้แตกต่าง กระจังหน้า-กันชนหน้า เน้นความเรียบง่าย ส่วนตัวกลับรู้สึกได้ถึง “ความเรียบง่าย แต่เท่ แบบไม่เยอะ”

ไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED พร้อม Daytime Running Lights และไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED Light Guiding

มือจับประตูเป็นสีเดียวกับรถล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ราวหลังคาถูกตัดออกไป มีกาบบันไดด้านข้างก้าวขึ้นรถได้ง่ายขึ้น

เข้ามาภายในห้องโดยสาร ควานหาปุ่มกดเพื่อสตาร์ตเครื่องยนต์ ปรากฏว่า ไม่เจอ !

โตโยต้าถอดออก แล้วกลับไป “แบ็กทูเบสิก” เสียบกุญแจแล้ว บิดหมุนสตาร์ต/ดับเครื่องยนต์เอา

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ เพียงพอต่อการใช้งาน หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto เชื่อมต่อแบบไร้สายได้ มาตรวัดเรืองแสง จอแสดงข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว บอกข้อมูลชัดเจน

แอร์เย็นฉ่ำถึงใจสไตล์โตโยต้า ด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา มีกรอง PM 2.5 โตโยต้ามีกล้องมองหลัง พร้อมเส้นกะระยะช่วยขณะถอยจอด

กระจกหน้าต่างฝั่งคนขับเป็นแบบวันทัช ส่วนอีก 3 บานให้เราเลือกกดเปิด-ปิดเอง ส่วนเบาะนั่งใช้เบาะผ้าสีดำ กลมกลืนกับแผงคอนโซลหน้าที่บุหนังสังเคราะห์สีดำล้วน

แผงประตูบุด้วยผ้าสีดำ ช่องเก็บของหน้าแบบคูลบ๊อชถูกตัดออก เช่นเดียวกับที่ชาร์จแบบไร้สาย มีช่องเสียบแบบ USB ส่วนเบรกมือยังเป็น ก้านเบรกมือ ให้เราดึงขึ้นมาใช้ ตรงนี้ส่วนตัวชอบ เพราะดูให้ความมั่นใจ

ส่วนประตูฝาท้าย “ไม่มี” ระบบเปิด-ปิดไฟฟ้า

รถคันนี้มี 2 โหมด เป็นปุ่มกดบริเวณใกล้กับฐานคันเกียร์ คือ ปุ่ม ECO และ SPORT และมีปุ่มกดกันลื่นไถลเข้ามาให้

แป้นแพดเดิลชิฟต์ที่พวงมาลัย ถูกเอาออกไป ให้เราเลือกเปลี่ยนที่คันเกียร์ โยก +/- มาให้ใช้ (Sequential Shift)

ขุมพลังของเครื่องยนต์ ดีเซล 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เลือกพาโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ลีดเดอร์ เอส คันนี้ มุ่งสู่ จ.นครสวรรค์-พิษณุโลก ในวันหยุดยาว การจราจรคับคั่งทุกเลนบนสายเอเชีย รถคันนี้ให้ความคล่องตัวค่อนข้างสูง

โดยเฉพาะน้ำหนักของพวงมาลัย เหมาะมือไม่หนัก-เบาจนเกินไป ทำให้จังหวะมุดตามช่อง เพื่อพารถไปข้างหน้าได้สบาย

การทำงานของเครื่องยนต์สมูท จังหวะคิกดาวน์เพื่อเร่งแซง เครื่องยนต์ตอบสนองดี ไม่ตึง-เครียดจนเกินไป หรือบางจังหวะเลื่อนเชนจ์เกียร์เพื่อกระชับเครื่องยนต์ให้ทันอกทันใจยิ่งขึ้น

เบ็ดเสร็จ “เดย์ทริป” กับเจ้าโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ลีดเดอร์ เอส คันนี้ กดไปเหลืออีกแค่ 1 กิโลเมตรครบ 800 กิโลเมตร เส้นทาง “กรุงเทพฯ-นครสวรรค์-พิษณุโลก-กรุงเทพฯ” วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยสูงสุดตามกฎหมายกำหนด หน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองที่ 11.8 กิโลเมตรต่อลิตร บรรทุกผู้โดยสารรวมคนขับ 4 คน ที่สำคัญหวดยาว ๆ ไม่มีอาการล้า “ถือว่าใช้ได้”

จากที่โตโยต้า เคลมไว้ที่ 14.3 กม.ต่อลิตร ตาม ECO Sticker

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า โตโยต้า พร้อมเสิร์ฟ ฟอร์จูนเนอร์ รุ่นลีดเดอร์ เอส สมกับการเป็นผู้นำ ของคนที่มองหาความคุ้มค่า ที่เกินราคา