นิสสัน ซื้อหุ้น อี.แดมซ์ เสริมความแกร่ง “ฟอมูล่า อี”

ยักษ์ใหญ่นิสสัน ประกาศเข้าซื้อหุ้นอี.แดมซ์ (e.dams) ทีมผู้สร้างฟอร์มูล่าคาร์ ที่กวาดรางวัลจากสนามแข่งมามากมาย โดยนิสสันเข้าซื้อหุ้น อี.แดมซ์ ก่อนลงแข่งขันครั้งแรกในรายการเอบีบี เอฟไอเอ ฟอร์มูล่า อี สตรีท เรซ แชมเปี้ยนชิพ

นิสสันเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันฟอร์มูล่า อี และเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยยอดจำหน่ายนิสสัน ลีฟกว่า 350,000 คัน นิสสันพร้อมแสดงมิติใหม่ด้าน “สมรรถนะ” ภายใต้แนวคิด นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี้ ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทที่จะเปลี่ยนแปลงยานยนต์ในอนาคต ทั้งด้านพลังงานและระบบขับเคลื่อน สมรรถนะการขับขี่และการผสานเทคโนโลยียานยนต์กับสังคม

นายเฌอ ปอล ดรีโอ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าทีม อี.แดมซ์ ทีมผู้สร้างฟอร์มูล่าคาร์ เมืองเลอมังส์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าร่วมทุนกับแดมซ์ (DAMS) ทีมผู้สร้างฟอร์มูล่าคาร์ที่มีประวัติศาสตร์ชัยชนะในการแข่งขันฟอร์มูล่าคาร์อันยาวนานกว่า 30 ปี ก่อนหน้านี้ทีม อี.แดมซ์ ร่วมมือกับเรโนลต์ กลุ่มอัลไลแอนซ์ของนิสสัน คว้าชัยชนะการแข่งขันฟอร์มูล่า อี ประเภททีมแชมเปี้ยนชิพ ในฤดูการแข่งขันแรก ทำให้ทีม อี.แดมซ์ มีสถิติชนะการแข่งขันสูงสุด และเป็นทีมผู้นำในการแข่งขันฟอร์มูล่า อี

นายโรเอล เดอ วรี รองประธานกรรมการบริหารองค์กร และหัวหน้าฝ่ายการตลาด และกลยุทธ์แบรนด์ระดับโลก กล่าวว่า “นิสสันเข้าร่วมแข่งขันฟอร์มูล่า อีเป็นครั้งแรก จึงร่วมมือกับ อี.แดมซ์ ทีมผู้สร้างฟอร์มูล่าคาร์ที่มีศักยภาพ และประสบการณ์ในการนำทีมคว้าชัยชนะจากการแข่งขันมาแล้วมากมาย”

“ในฤดูกาลที่ 5 ของการแข่งขันฟอร์มูล่า อี จะยิ่งเข้มข้นกว่าเดิม ด้วยกฎในการแข่งขัน ด้วยรถแข่งรุ่นใหม่ และระบบขับเคลื่อนใหม่ นิสสันให้พันธสัญญาร่วมมือกับ อี.แดมซ์ และตื่นเต้นที่จะได้ทำงานร่วมกับนายเฌอ ปอล ดรีโอ และทีม อี.แดมซ์ จึงได้เข้าถือหุ้นมีสิทธิในความเป็นเจ้าของทีม”

นายดรีโอกล่าวว่า “เราตื่นเต้นมากที่จะได้เผชิญความท้าทายใหม่เคียงคู่กับนิสสัน พวกเราภาคภูมิใจในเกียรติประวัติผู้สร้างรถแข่งฟอร์มูล่า อี ที่คว้าชัยชนะมากมาย และพร้อมที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการแข่งรถร่วมกับหุ้นส่วนของเรา และรถแข่งคันใหม่”

นิสสันและ อี.แดมซ์ จะเริ่มทดสอบรถแข่งใหม่ล่าสุด รุ่นที่ 2 สำหรับการแข่งขันฟอร์มูล่า อี ที่มาพร้อมด้วยพละกำลังที่มากกว่าเดิม และวิ่งได้ไกลกว่าเดิม และทำให้ทีมไม่ต้องเปลี่ยนรถคันที่ 2 ในการแข่งขันอย่างใน 4 ฤดูกาลแรก