“ทีโอเอ” รุกคืบค้าปลีกรถยนต์ “มองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง”

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

10 ปีที่ผ่านมาน้อยคนนักที่จะรู้ว่า “ทีโอเอ” ยักษ์ใหญ่ธุรกิจสี กระโดดเข้าสู่สมรภูมิ “ธุรกิจค้าปลีกรถยนต์”จะเรียกว่าเป็นเสือซุ่มเงียบในถ้ำ คงไม่ผิด

ทีโอเอเริ่มต้นกับธุรกิจรถยนต์เมื่อปี 2552 ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ “ซูซูกิ” ภายใต้ชื่อบริษัท ไอทีโอเอ ออโต้ เซลส์ จำกัดถัดจากนั้นอีก 7 ปี ทีโอเอเริ่มแตกแบรนด์ “เอ็มจี” เพิ่มอีก 1 ยี่ห้อ ภายใต้บริษัท เบส ออโต้ เซลส์ จำกัด ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีสาขารวมกันถึง 11 สาขา แบ่งเป็น ซูซูกิ 4 สาขา และเอ็มจี 7 สาขามียอดขายรถไปแล้วกว่า 20,000 คัน แบ่งเป็น ซูซูกิ 19,026 คัน และเอ็มจี 7,663 คัน

ที่สำคัญ ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายที่สัดส่วนยอดการจำหน่ายสูงสุดของรถยนต์ทั้ง 2 แบรนด์ด้วย

ปี 2562 ทีโอเอประกาศขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจากระดับกลางล่างสู่ระดับบน โดยคว้าสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ในนาม บริษัท ไพร์มมัส ออโต้ เซลส์ จำกัด

“ประชาชาติธุรกิจ” จับเข่าคุยกับผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ” ประธานบริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (TOAVN) ถึงทิศทางและการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกรถยนต์ สู่เป้าหมายภายใน 3 ปี ซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าจะยอดขายแตะหมื่นล้านบาทแตกกลุ่มธุรกิจเพิ่ม จริง ๆ ธุรกิจหลักของเรา คือ ธุรกิจสีทีโอเอ ซึ่งมีทั้งสีทาบ้าน สีรถยนต์ กระดาษทราย และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งเราจะมาในสายของอุตสาหกรรมการผลิตเป็นส่วนใหญ่ ส่วนกลุ่มบริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด นั้นถือเป็นธุรกิจที่ผมได้แยกตัวออกมาจากธุรกิจสีทีโอเอ

โดยทีโอเอมีธุรกิจภายในโฮลดิ้งนี้ทั้งสิ้น 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสีอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนรถยนต์, ธุรกิจเคมีภัณฑ์, ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และธุรกิจพัฒนาและจัด

การอสังหารัมทรัพย์ ซึ่งมีบริษัททั้งสิ้น 15 บริษัท แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ผมเห็นโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ว่าน่าจะมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จึงขยายพอร์ตธุรกิจมายังธุรกิจการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เริ่มต้นกับค่ายซูซูกิ วันนี้เรามีโชว์รูมและศูนย์บริการอยู่ 4 สาขา ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี ศรีราชา และพัทยา ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

ก่อนที่จะขยายมาสู่แบรนด์เอ็มจี ในปี 2557 ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น สาขา 7 สาขา กระจายอยู่ในพื้นที่ ชลบุรี กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ทั้ง 2 แบรนด์เรามียอดสะสมกว่า 20,000 คัน และยังเป็นผู้นำด้านยอดขายของรถยนต์ทั้ง 2 แบรนด์นี้ด้วย

ล่าสุดเราได้ขยายจากกลุ่มรถยนต์อีโคคาร์และเอสยูวี กระโดดมาที่รถยนต์ในกลุ่มพรีเมี่ยม เพื่อเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอ ด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไป

หากจะดูพอร์ตธุรกิจของเรา วันนี้ถือว่ามีความพร้อมค่อนข้างมาก สำหรับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งสิ่งสำคัญถือเป็นนโยบาย “หัวใจ” หลักคือ การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร ในเมื่อบริษัทแม่ของค่ายรถยนต์แต่ละค่ายให้เกียรติเราเข้ามาร่วมธุรกิจด้วยแล้ว

ดังนั้นการที่เรามาจากธุรกิจอุตสาหกรรม มาจากโรงงาน เราจะต้องเน้นการเติบโตแบบมั่นคง และโดยพื้นฐานของเราแล้วจะมองการดำเนินธุรกิจไปในระยะยาว การทำ

ธุรกิจรถยนต์ไม่ใช่แค่ซื้อมาแล้วขายไป แต่เรามองในสเต็ปเดียวกับอุตสาหกรรมโรงงาน คือ เราเวลาขายของเข้าโรงงาน เราต้องพยายามช่วยลูกค้าลดต้นทุน พัฒนาขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ขั้นตอนการทำงานสั้นลง ได้ผลดีที่สุด เช่นเดียวกันกับการขายรถยนต์ เรามองไปที่ “ความพึงพอใจสูงสุดไม่ใช่การมียอดขายมากที่สุด เพราะเราเชื่อว่าเมื่อลูกค้ามีความพึงพอใจสูงสุด ท้ายที่สุดเขาก็จะกลับมาซื้อรถคันต่อไป หรือรับบริการอื่น ๆ จากเราอย่างแน่นอนมองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

สำหรับเราในส่วนของรถยนต์ซูซูกิ และเอ็มจีนั้น เราจะใช้ทีมบริหารจัดการทีมเดียวกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มรถยนต์ที่มีความใกล้เคียงในเรื่องของกลุ่มลูกค้า การทำตลาด ส่วนเมอร์เซเดส-

เบนซ์นั้น เราได้มีการตั้งทีมบริหารอีกชุดเข้ามาดูแลโดยเฉพาะ ด้วยทีมงานที่มีคุณภาพและประสบการณ์ และหากจะพิจารณาถึงยุทธศาสตร์ของเรา ที่เน้น 3 ด้าน ได้แก่ 1.การให้บริการที่ครบวงจร 2.การเลือกบุคลากรมืออาชีพ 3.มุ่งเน้นความพึงพอใจของลูกค้าโฟกัสตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม แน่นอน ก่อนการเข้ามาสุ่ธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เรามีการสำรวจและศึกษาตลาดมาก่อน จะเห็นว่ารถยนต์เอ็มจี และซูซูกิ ของเราตลาดหลักจะโฟกัสอยู่ในต่างจังหวัด เป็น 2 จังหวัดใหญ่ คือ เชียงใหม่ และชลบุรี รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เราเลือกทำเลเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา เพราะได้ศึกษามาแล้ว ทำเลตรงนี้ถือว่ามีศักยภาพ “เราจงใจเลือกทำเลที่ดีที่สุด ถ้าเราต้องการจะทำอะไรที่ดีต้องดีที่สุด”

ยันลงทุนต่อเนื่อง

ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา TOAVN เราลงทุนในส่วนของธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นซูซูกิและเอ็มจี คิดเป็น 400 ล้านบาท ล่าสุดเมอร์เซเดส-เบนซ์ อีก 1,100 ล้านบาท

ปีนี้จะลงทุนในส่วนของโชว์รูมเอ็มจีอีก 2 แห่ง ส่วนซูซูกินั้นต้องรอนโยบายจากบริษัทแม่ ส่วนโอกาสอื่นนั้น ผมเชื่อว่าเรามีโอกาสแต่ยังไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้

3 ปีแตะหมื่นล้าน


จะเห็นว่าปี 2561 ที่ผ่านมา เรามียอดขายรถยนต์ของกลุ่ม 5,196 คัน แบ่งเป็น ซูซูกิ 1,900 คัน เอ็มจี 3,296 คัน ส่วนปีนี้ตั้งเป้าจะมียอดขายทั้งกลุ่ม 6,000 คัน แบ่งเป็น ซูซูกิ 1,800 คัน เอ็มจี 4,200 คัน ซึ่งเราจะรักษามาตรฐานต่อไป ปลายปีนี้ ต้นปีหน้าเรามี เมอร์เซเดส-เบนซ์ และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีอีกแบรนด์ ประกอบกับแผนการวางกลยุทธ์ของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เราเชื่อว่าภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ จะมียอดขายรถยนต์ที่กว่า 9,000-10,000 คันได้ไม่ยาก ส่วนรายได้นั้นน่าจะขึ้นไปแตะ 10,000 ล้านบาทในปี 2565 อย่างแน่นอน