เบนซ์ใช้ไทยนำร่องเอาต์เลต 2S ประเดิม 3 ดีลเลอร์-พร้อมเซอร์วิสต้นปีหน้า

เบนซ์เดินเกมเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไล่ผุดเอาต์เลตแบบ “2 เอส” ยกระดับงานบริการหลังการขาย ลั่น ปท.ไทยแบบนำร่องก่อนประกาศใช้ทั่วโลก ประเดิม 3 ทำเล บางจาก-ระยอง-อยุธยา

หลังจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ผลัดใบเปลี่ยน นายโรลันด์ เซบาสเตียนโฟลเกอร์ เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอ และได้เรียกประชุมตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเพื่อกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกัน รวมถึงรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาค

ส่วนเมื่อช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา และมีการประกาศนโยบายสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ยกระดับงานบริการหลังการขาย โดยชูแนวคิดการเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งผุดไอเดีย ลอนช์เอาต์เลตแบบใหม่เพิ่มเติมซึ่งแต่เดิมครบวงจรแบบ3 เอส ประกอบด้วย เซลส์, เซอร์วิส และสแปร์พาร์ต เหลือเพียง 2 เอสให้บริการอย่างเดียวไม่มีพื้นที่โชว์รถยนต์และงานขายเพื่อกระจายเข้าถึงทุกพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว ตามที่ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รายงานไปก่อนหน้านั้น

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวยังใช้ชื่อเรียกว่า “ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการ” แต่จะมีบริการเฉพาะงานซ่อมเท่านั้น เน้นไปที่เซอร์วิสและสแปร์พาร์ต ซึ่งประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลกที่เริ่มโครงการนำร่องนี้ก่อนที่จะขยายไปทั่วโลกแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ต้องการตอบโจทย์ในแง่ของจำนวนที่จะมารองรับกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งได้ดำเนินการเปิดรับสมัครดีลเลอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทุกรายที่ต้องการขยายเอาต์เลตแบบ 2 เอส และได้ทำการสรรหาจนได้ออกมา 3 รายภายในปีนี้ ประกอบด้วย บริษัท เบนซ์ เภตรา จำกัด ได้รับสิทธิ์ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา, บริษัท เบนซ์ พระราม 3 จำกัด ได้รับสิทธิ์ย่านบางจาก และบริษัท จันทบุรี เจพี มอเตอร์ จำกัด ได้รับสิทธิ์ที่ จ.ระยอง ทั้งนี้จะมีคัดสรรเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ

“เอาต์เลตแบบ 2 เอสนี้ใช้เงินลงทุนไม่มาก ประมาณ 100 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับพื้นที่และทำเล ซึ่งหากเป็นพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯอาจจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่หากเป็นต่างจังหวัดก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพและความพร้อมของดีลเลอร์นั้น ๆ เราเชื่อว่าจะสามารถรองรับลูกค้าเบนซ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นปีที่แล้วเราขายรถไปถึง 15,000 คัน”

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เอาต์เลตแบบ 2 เอสนี้นอกจะจากจะเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นแล้ว ยังเอื้อประโยชน์ให้กับดีลเลอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์เอง ที่ระยะหลังมีลูกค้ามากขึ้น แล้วต้องการขยายโชว์รูม-ศูนย์บริการของตัวเอง แต่ยังไม่สามารถทำได้เพราะใช้เม็ดเงินลงทุนค่อนข้างสูง ทำให้ต้องชะลอไว้ก่อน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับลูกค้า เอาต์เลตเฉพาะทางนี้จะสร้างความเชื่อมั่นและคงคุณภาพยกระดับงานบริการตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้เป็นอย่างดี

ส่วนดีลเลอร์เต็มรูปแบบที่มีครบทั้ง 3 เอส ปีนี้ก็ได้อนุมัติเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง เป็นดีลเลอร์ใหม่แกะกล่อง1 ราย ได้แก่ ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ (Primus Autohaus) กลุ่มตั้งคารวคุณ หรือทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง มีโชว์รูมย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา และอีก 1 ราย เป็นของกลุ่มเบนซ์ตลิ่งชันตระกูล “ตันตสิรินทร์” เพิ่มโชว์รูมอีก 1 แห่ง ที่ถนนราชพฤกษ์

แหล่งข่าวตัวแทนชมรมดีลเลอร์ (Dealer Council) เปิดเผยว่า เอาต์เลต 2 เอส ถือเป็นนโยบายที่ค่อนข้างน่าสนใจ และช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น รักษามาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มาก ตอนนี้มีดีลเลอร์หลายรายสนใจ ซึ่งบริษัทแม่ได้ประกาศรับสมัครมาพักใหญ่ คาดว่าน่าจะพร้อมให้บริการได้ราวกลางปีนี้

“ยอมรับว่าซีอีโอคนใหม่นี้มีแนวคิดหลายอย่างที่ดี เรื่องนี้แก้ปัญหาได้ตรงจุดมาก ยิ่งจำนวนลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เซอร์วิสต้องวิ่งตามให้ทัน ที่สำคัญ ระยะหลังรถเบนซ์มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางเทคโนโลยี ต้องดูแลเรื่องบริการหลังการขายให้ดีและใกล้ชิด”

ศูนย์บริการหรือเอาต์เลตแบบ 2 เอสนี้ ถือเป็นโครงการนำร่องของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไทยแลนด์ และยังเป็นโปรเจ็กต์แรกที่เพิ่งเกิดขึ้นเฉพาะกับประเทศไทย การดำเนินงานทุกอย่างต้องรอบริษัทแม่อนุมัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการออกแบบศูนย์บริการ ซึ่งเมื่อได้แบบแล้วยังต้องส่งไปให้ที่เยอรมนีตรวจสอบและเป็นผู้อนุมัติ ซึ่งคาดว่าจะผ่านกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ จนถึงการก่อสร้างและเปิดให้บริการได้ราวกลางปี 2563


“ต่อไปในส่วนของการขายรถใหม่นั้นบริษัทแม่อาจจะเป็นผู้ดูแล หรือให้ดีลเลอร์แบบฟูลแฟลก เป็นผู้ดูแลเรื่องของการขายส่วนศูนย์บริการมาตรฐาน 2 เอสนั้นจะให้บริการหลังการขาย อะไหล่ ศูนย์ซ่อมสีและตัวถังเท่านั้น แต่เราอาจจะมีแบ่งบางส่วนของพื้นที่ทำเป็นที่ปล่อยรถหรือส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ด้วย ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและพื้นที่จริงของดีลเลอร์แต่ละราย”