เปิดใจซีอีโอนิสสัน “เซอร์ไพรส์กับตลาดรถยนต์เมืองไทย”

“ราเมซ นาราสิมัน” เข้ามากุมบังเหียนดูแลตลาดประเทศไทยในตำแหน่งประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด แทน “อัลตวน บาร์เตส”ที่เพิ่งครบวาระ เป้าหมายการสับเปลี่ยน

ครั้งนี้เพื่อสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงานให้รวดเร็ว บริหารจัดการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด รวมถึงเสริมสร้างแบรนด์นิสสันให้มีความแข็งแกร่งภายใต้แผนระยะกลาง M.O.V.E. to 2022

วันก่อนในเวทีแถลงความร่วมมือของนิสสันและเดลต้าฯ “ประชาชาติธุรกิจ” ไม่พลาดที่จะขอพูดคุยกับนายใหม่หมาด ๆ คนนี้ เขาสะท้อนมุมมองของนิสสันและอุตสาหกรรมยานยนต์ในบ้านเราไว้อย่างน่าสนใจ

Q : ความท้าทายในปีนี้

ผมเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น แถมช่วงที่ผ่านมาต้องเจอกับเทศกาลและวันหยุดยาวของไทย แต่โชคดีมีโอกาสได้ร่วมทริปทดสอบไปกับทีมและสื่อมวลชนที่ประเทศเมียนมา ซึ่งต้องยอมรับเลยว่ายังต้องใช้เวลาสักระยะในการศึกษาทำความเข้าใจตลาดเมืองไทยแต่ถ้าถามในแง่ของเป้าหมายผลการดำเนินงานปีนี้ นิสสัน ไทยแลนด์จะต้องเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ทั้งในแง่ยอดขายที่ทำได้ 70,000 กว่าคัน และส่วนแบ่งทางการตลาดซึ่งจบที่ 7.1% โดยราว ๆ เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ผมน่าจะสามารถแชร์แผนงานของนิสสัน ประเทศไทยได้อย่างแน่นอน

Q : สิ่งที่ต้องรีบทำหลังรับตำแหน่ง

นิสสันเรายังคงยืนยันตามแผนงานและเป้าหมายที่ได้เคยประกาศไว้ คือ แผนงานระยะกลาง เป็นระยะเวลา 3 ปีที่เราตั้งเป้าว่าจะต้องมีส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับประเทศไทยเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับเลข 2 หลักให้ได้อย่างแน่นอน และวันนี้ทุกอย่างก็ได้ดำเนินงานตามแผนงานที่บริษัทและบริษัทแม่ได้ปูทางไว้

Q : มองอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างไร

ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ เห็นได้ว่ามียอดขายรถยนต์มากกว่า 1 ล้านคันต่อปี และตลาดหลักจะเป็นตลาดของรถยนต์กลุ่มปิกอัพและกลุ่มรถยนต์นั่ง ผมค่อนข้าง”เซอร์ไพรส์” กับตลาดรถยนต์ประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดพอ ๆ กับออสเตรเลีย ยังถือว่าเป็นตลาดหลักในการผลิตเพื่อส่งออกด้วย วันนี้แม้ว่าเทรนด์ความต้องการใช้รถยนต์ของโลกจะไปอยู่ที่ตลาดเอสยูวี แต่สำหรับประเทศไทยความแข็งแกร่งของตลาดรถปิกอัพขนาด 1 ตัน และรถยนต์นั่งยังคงมีความแข็งแรงส่วนรถในกลุ่มเอสยูวีเองก็ค่อย ๆ เติบโตและได้รับความนิยม

Q : ความแตกต่างระหว่างของลูกค้าในแต่ละประเทศ

ในออสเตรเลียส่วนใหญ่ลูกค้าจะสนใจเงื่อนไขทางด้านการเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย 0% เหมือนฟิลิปปินส์ก็จะมองเรื่องดาวน์ต่ำ แต่สำหรับประเทศไทยเท่าที่ผมได้สัมผัส และได้ข้อมูลลูกค้าชาวไทยจะให้ความสำคัญเรื่อง “ราคา” มากกว่ามองรถยนต์ไปที่การใช้งาน

Q : ความคืบหน้าทำตลาดรถยนต์อีวี

หลังจากเราได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ปรากฏว่านิสสัน ลีฟได้รับการตอบรับและความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และในจำนวนลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อนั้น เราพบว่ามีสัดส่วนถึง 20% เป็นลูกค้าในต่างจังหวัด เราเพิ่งส่งมอบรถยนต์นิสสัน ลีฟให้กับลูกค้า โดยคันแรกที่จองและรับรถลูกค้าได้นำไปใช้งานที่ จ.เลย เมื่อรับรถแล้วเขาใช้งานขับไป จ.เลย มีการชาร์จไฟเพียง 2 ครั้ง วิ่งได้อย่างสบาย ๆ

Q : ความร่วมมือล่าสุดกับเดลต้า อีเลคโทรนิคส์

ล่าสุดนิสสันจับมือกับบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการหลักเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าดูแลการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าอีเลคโทรนิคส์ให้กับลูกค้าที่ต้องการติดตั้งจุดชาร์จไฟฟ้า สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และติดตั้งเครื่องชาร์จแบบเร็ว และแบบธรรมดา ที่โชว์รูมตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด 32 แห่งทั่วประเทศ โดยเดลต้า เป็นผู้ให้บริการสำรวจพื้นที่ ติดตั้ง และบริการหลังการขายพร้อมกับการรับประกันนานถึง 3 ปี ซึ่งตรงนี้ลูกค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของค่าใช้จ่ายสำหรับการติดตั้งและอุปกรณ์ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ45,000 บาท และเดลต้า อีเลคโทรนิคส์จะเป็นผู้เข้าไปติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้กับตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับสิทธิ์ขายนิสสัน ลีฟทั้ง 32 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งที่โรงงานนิสสัน บางนา-ตราด กม.21 ด้วย

Q : แผนเพิ่มดีลเลอร์ขายนิสสัน ลีฟ

แน่นอนว่าเรามีเป้าหมายอย่างน้อย ๆ 3 ปีจากนี้ไปจะต้องมีการขยายจำนวนดีลเลอร์ที่ได้รับสิทธิ์ให้จำหน่ายนิสสัน ลีฟเพิ่มเติมจาก 32 แห่งในปัจจุบันอย่างแน่นอนหรือหากเป็นไปได้เราก็อยากจะขยายให้กับทุกโชว์รูมทั่วประเทศ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องขึ้นอยู่ที่ความพร้อมของตลาดในพื้นที่นั้น ๆและการตอบรับความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ขณะที่ความร่วมมือ

ระหว่างนิสสันกับเดลต้าฯเพื่อไปสู่เป้าหมายการพัฒนาการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยที่ต้องการให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 1.2 ล้านคันบนท้องถนนภายในปี พ.ศ. 2579

Q : โอกาสที่จะได้เห็นอี-พาวเวอร์ในเมืองไทย

นิสสันมุ่งมั่นและพยายามเดินตามแผนงานอยู่ ซึ่งเราเตรียมนำอี-พาวเวอร์เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย แต่ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ และยังไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ แต่เราบอกได้เพียงว่า “อี-พาวเวอร์” เป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น