สร้างแบรนด์ “ไทรอัมพ์” ฝังในใจ “คอบิ๊กไบก์”

3 ปี หลังบริษัทแม่ไทรอัมพ์จากอังกฤษ ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ยอดขายเริ่มดีวันดีคืน ที่สำคัญมีโปรดักต์ใหม่มานำเสนอต่อเนื่องจนเดี๋ยวนี้แบรนด์ “ไทรอัมพ์” ติดหูติดปากคนไทย ซึ่งตรงกับแนวคิดของ “จักรพงษ์ ศานติรัตน์” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่อยากให้คนไทยนึกถึงมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ให้นึกถึงแบรนด์ไทรอัมพ์ในอันดับแรก ๆ

Q : ความชัดเจนหลังบริษัทแม่เข้ามาลุยเอง

ก่อนหน้านี้ไทรอัมพ์มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ คือ บริษัท บริทไบค์ จำกัด ภายใต้การบริหารงานของคุณดอม เหตระกูล ซึ่งขณะนั้นถือว่าไทรอัมพ์กำลังมีการเติบโตอย่างมีนัย ทำให้บริษัทแม่เล็งเห็นโอกาส และศักยภาพของตลาดประเทศไทย จึงได้ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจัง โดยได้เจรจากับทาง “บริทไบค์” ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านเมื่อปี พ.ศ. 2558 นั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะทำราคาขาย ซึ่งบริษัทได้อาศัยความได้เปรียบจากที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย ทำให้ไทรอัมพ์เติบโตอย่างผิดหูผิดตา

Q : มองศักยภาพเมืองไทยอย่างไร

ศักยภาพของประเทศไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ต้องบอกว่าก้าวไปไกลระดับโลกเลยทีเดียว บริษัทแม่ได้ตัดสินใจเข้ามาตั้งโรงงานในไทย ถือเป็นโรงงานผลิตแห่งที่ 2 เมื่อปี 2545

ก่อนที่บริษัทแม่จะเข้ามาทำตลาดถึง 15 ปี ไทรอัมพ์มองว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ และเป็นฐานผลิต 1 ใน 2 แห่งของโลกและของไทรอัมพ์ นอกจากโรงงานในเมืองเลสเตอร์ อังกฤษ ซึ่งโรงงานที่อมตะ ชลบุรี เรามีกำลังผลิต 60,000 คัน

ถือว่าเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก หรือพูดให้เข้าใจง่าย คือ รถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์ที่จำหน่ายทั่วโลก นอกจากมาจากอังกฤษแล้ว ที่เหลือก็คือประเทศไทย

Q : เป้าหมายในปีนี้

ความได้เปรียบของเราตอนนี้ คือ การตัดสินใจในการทำตลาด ด้วยการที่เป็นบริษัทแม่ เราสามารถลดขั้นตอนหลาย ๆ อย่าง รวมถึงสร้างแบรนด์คู่ขนานไปกับการทำตลาด เราพยายามสร้างประสบการณ์การขับขี่กับรถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์ ให้ลูกค้าคนไทยได้สัมผัสมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางตรงไปยังลูกค้าผู้ใช้งาน หรือผู้ที่สนใจสินค้าของเรา ภายใต้คอร์แวลู คือ ความเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์สัญชาติอังกฤษ และตอบสนองไลฟ์สไตล์การขับขี่ ทำให้ช่วงที่ผ่านมา ไทรอัมพ์มีความโดดเด่น นอกจากการร่วมงานแสดงรถยนต์ชั้นนำของประเทศ ทั้งมอเตอร์โชว์ มอเตอร์เอ็กซ์โป ฯลฯ ในส่วนของดีลเลอร์ก็ยังมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

สิ่งสำคัญที่เราจะละเลยไม่ได้เลย คือ การอำนวยความสะดวกทางด้านการเงิน หรือสินเชื่อให้กับผู้ที่สนใจซื้อรถของเราได้มีความสะดวกที่สุด ปีนี้เราตั้งเป้าจะเติบโตอย่างน้อย 10% หรือประมาณ 2,700-2,800 คัน เพิ่มขึ้นจากยอดจดทะเบียนปีก่อนที่ 2,433 มีส่วนแบ่งตลาด 43% ขณะที่ตลาดบิ๊กไบก์ ขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 500 ซีซีเป็นต้นไป จะเติบโตประมาณ 10% หรือจำนวนกว่า 6,000 คัน ผ่านมา 5-6 เดือน ตลาดรถบิ๊กไบก์พรีเมี่ยมแบรนด์จากยุโรปและอเมริกา ยังคงมีการเติบโตจากตัวเลขที่เราดูรวม ๆ ไปแล้วกว่า 2,500 คันแล้ว ทั้งนี้ขายกันที่ 6,000 คันไม่น่าจะใช่เรื่องยาก

Q : แผนการขยายเครือข่าย

ปัจจุบันเรามีโชว์รูมและศูนย์บริการ 11 แห่ง แบ่งออกเป็นกรุงเทพฯ 4 แห่ง ได้แก่ อาร์ซีเอ, ดอนเมือง, บางนา, พระราม 5 ต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, พิษณุโลก, ลพบุรี, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, หาดใหญ่, ภูเก็ต และอยู่ในระหว่างก่อสร้างอีก 3 แห่ง ได้แก่ ถ.วิภาวดี พัทยา และเชียงราย คาดว่าจะแล้วเสร็จสิ้นปีนี้ และยังมีอีก 2 แห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยคาดว่าจะเปิดได้ราวต้นปี 2561 คือ สาขาโคราชและหัวหิน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีเครือข่ายทั้งสิ้น 15 แห่งในปี 2561 ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ คือ “ไทรอัมพ์เวิลด์” ที่มีความอบอุ่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เรียบง่าย ซึ่งเราต้องการให้โชว์รูมไทรอัมพ์กลายเป็นสถานที่แฮงเอาต์มีตติ้งของลูกค้าด้วย จุดเด่นของเราเมื่อลูกค้าเดินเข้ามาที่โชว์รูม จะต้องมีรถทุกรุ่น เกือบครบทุกสีให้ลูกค้าได้ทดลอง วันนี้เรามีขายทั้งหมด 13 รุ่น แบ่งเป็นรุ่นคลาสสิก 80% รุ่นแอดเวนเจอร์และเน็กเกต 20%

Q : มีแผนบุกตลาดมือสอง

ถามว่าเราสนใจทำตลาดรถจักรยานยนต์มือสองหรือไม่ ถ้าบอกว่าไม่ได้สนใจ ก็คงจะไม่ใช่ อย่างในต่างประเทศเอง ก็เพิ่งจะมีการเปิดตัว “พรีโอนไบก์” เพื่อให้บริการลูกค้าอีกกลุ่ม ส่วนประเทศไทยคิดว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษารายละเอียดอย่างน้อย 2-3 ปี เนื่องจากเราต้องดูหลาย ๆ อย่างประกอบกัน ทั้งดีลเลอร์, สภาพตลาด ไฟแนนซ์ และประกัน มาประกอบกัน แต่เชื่อว่าน่าจะมีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

เพื่อไปสู่เป้าหมายระยะยาวที่เราต้องการให้ลูกค้าชาวไทยเข้าใจและมีประสบการณ์การขับขี่ และนึกถึงไทรอัมพ์เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่คนไทยนึกถึง