ถ้าจะพูดถึงคู่แข่งในละแวกรอบบ้านเรา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง CLMV
“เวียดนาม” น่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในลำดับต้น ๆ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
เพราะขนาดแต่ละปีนำเข้ารถยนต์จากเมืองไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
กำลังผลิตและกำลังซื้อในประเทศเวียดนามยังขยายตัวแบบน่าตกใจ
ปี 2562 นี้ ไทยส่งออกรถยนต์ไปตลาดเวียดนามได้ 83,000 คัน โตขึ้น 46%
และประเมินว่าปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็นถึงแสนคัน
เวียดนามมีจำนวนประชากรกว่า 96 ล้านคน
แต่ยังมีอัตราการถือครองรถยนต์ยังต่ำ
เทียบประชากรพันคน มีรถยนต์ใช้เพียง 23 คัน
ขณะที่บ้านเราอัตราการถือครองรถยนต์สูงกว่าเยอะ 3-4 คนต่อ 1 คัน
ดังนั้นจึงคาดการณ์กันว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศของเวียดนาม 3 แสนคันต่อปี
อาจพุ่งขึ้นแตะ 1 ล้านคันต่อปีได้ในปี 2573
สิ่งที่รัฐบาลและภาคเอกชนเวียดนาม ผนึกกำลังกระตุ้นกำลังซื้อ
ตั้งแต่ส่งเสริมการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ เช่น การสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ยี่ห้อ VinFast
โดยคาดหวังให้พัฒนาขึ้นเป็นรถยนต์แห่งชาติในอนาคตด้วยเป้าหมายผลิตถึง 500,000 คันต่อปี
การประกาศใช้ระเบียบ Decree 116 เมื่อต้นปี 2561 เพื่อให้การนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศเป็นไปได้ยากขึ้น
และการออกระเบียบ Decree 125 โดยลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่ไม่ได้มีการผลิตในประเทศให้เหลือ 0%
โดยหวังให้ต้นทุนการประกอบรถยนต์ในประเทศลดลง
แต่อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังมองว่า สถานการณ์เวียดนามในปัจจุบันยังตามหลังประเทศที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์อื่นอยู่มาก
เช่น รายได้ประชากรและจำนวนผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
รวมไปถึงความนิยมต่อรถยนต์ที่ไม่แตกต่างจากตลาดอื่นในภูมิภาค
ทำให้ปัจจุบันค่ายรถยนต์เลือกที่จะผลิตรถยนต์ในฐานการผลิตอื่นเพื่อให้เกิดอีโคโนมีออฟสเกล
แล้วส่งออกรถยนต์มายังเวียดนามแทนการลงทุนผลิตในเวียดนาม
และการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศเวียดนามให้แข็งแกร่งขึ้นนั้น
ยังต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตสูงควบคู่กันไปด้วย
รวมถึงค่ายรถสัญชาติเวียดนามเอง ก็ต้องมีกลยุทธ์ที่ดีในการสร้างความน่าเชื่อถือ
พัฒนาคุณภาพและเทคโนโลยีรถยนต์อย่างต่อเนื่องเทียบเท่ากับค่ายรถยนต์ในระดับโลก
ขอบคุณข้อมูล – ศูนย์วิจัยกสิกรไทย