กฤษฎา ล่ำซำ “อาวดี้” ทำทุกความต้องการลูกค้า

อาวดี้ ประเทศไทย กำลังผ่านช่วงเวลา 3 ปีแรกของการดำเนินธุรกิจไปได้อย่างสวยงาม ทั้งผ่านการแอปพรูฟจากบริษัทแม่ ออดี้ เอ.จี. มอบความไว้วางใจให้ดูแลตลาดรถยนต์ออดี้ในประเทศไทย มอบหมายให้ดูแลงานหลังการขาย รวมทั้งเสียงตอบรับจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย ด้านความเชื่อมั่นและความพึงพอใจ ส่งผลให้ยอดขายดีวันดีคืน ภายใต้การนำทัพของบอสใหญ่ “กฤษฎา ล่ำซำ” ในฐานะประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร


เดินหน้ารุกตลาดต่อเนื่อง

สำหรับทิศทางและการขับเคลื่อนของเรา ปี 2563 นี้เราตั้งเป้าหมายค่อนข้างจะท้าทาย โดยต้องมียอดขายโตเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% จากยอดขายของปีที่ผ่านมาซึ่งน่ามากกว่า 1,000 คัน ซึ่งทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาเราพยายามจะดำเนินการส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้เร็วที่สุดเนื่องจากมีอุตสาหกรรมรถยนต์มีปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ส่งผลให้แผนงานในปี 2562 ที่ผ่านมาของเราผิดแผนไปเล็กน้อย คือ รถยนต์จากบริษัทแม่ที่เยอรมนีส่งเข้ามาล่าช้ากว่าแผนงานที่วางไว้ จากมีการปรับเปลี่ยนเรื่องข้อกำหนดการตรวจสอบการวัดค่าไอเสีย ทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ล่าช้า และลูกค้าคนไทยต้องใช้เวลารอรับนานขึ้น

ส่วนเป้าหมายเติบโต 10% นั้นเราประเมินบนพื้นฐานของสภาพตลาดที่อยู่ในภาวะทรงตัว และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการจับตาและประเมินสภาพตลาดกันเป็นระยะ ๆ

ชูรถราคาต่ำ 3 ล.หนุนยอดขาย

ปี 2563 นี้เราวางแผนขยายรถยนต์ในพอร์ตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มรถที่ลูกค้าจับต้องได้ง่ายขึ้น จะเห็นว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เรามีรถยนต์ออดี้ที่ราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาท ไม่ถึง 10% ของรถยนต์ที่มีขายในพอร์ต ดังนั้น ปีนี้จะเน้นรถที่มีราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้มากขึ้น จากปี 2562 ที่มีเพียง 2 รุ่นเท่านั้น คือ คิว2 และ เอ1 เราตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรถกลุ่มนี้ถึง 30%

เร่งสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง

บอสใหญ่อาวดี้ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดของอาวดี้ ประเทศไทย คือ เราต้องทำให้แบรนด์ออดี้เป็นแบรนด์ที่จับต้องได้ เราประกาศนโยบายชัดเจนว่าภายใน 2 ปีจะมีการส่งรถยนต์ถึง 20 รุ่น ออกสู่ตลาด ทั้งรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฟฟ้า และในนั้นเองก็จะมีรถที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทถึง 5 รุ่น

ส่วนอาวดี้ ประเทศไทย ปัจจุบันเรามีการทำตลาดอยู่ 24 รุ่นย่อยจากปีแรกมีรถทำตลาดเพียง 13 รุ่นย่อย ปี 2563 นี้จะเปิดเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 รุ่น ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนตลาดและสร้างแบรนด์ได้ค่อนข้างน่าพอใจ จะเห็นว่าเราเริ่มทำตลาดในเชิงรุกมากขึ้น มีรถในพอร์ตเตรียมนำเสนอออกสู่ตลาดมากมาย ส่วนอาวดี้ ประเทศไทย ก็พยายามทำตลาดจับกลุ่มลูกค้าด้วยการนำเสนอให้เป็นเจ้าของและเข้าถึงรถได้ง่ายขึ้น

เสริมทัพกลุ่มรถแรง-อีวี

ตามแผนงานของเรา รถตัวแรง ๆ อย่างอาร์เอสนั้น เรามีแผนทำตลาดอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งตอนนี้รอเพียงแค่คำตอบจากบริษัทแม่ว่าปีนี้เราจะได้ทำตลาดหรือไม่ ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างอีตรอนเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 2562 ที่ผ่านมานั้น กลุ่มแสนสิริได้ออร์เดอร์เข้ามาถึง 30 คัน และมียอดจองที่ลงทะเบียนเข้ามาถึง 120 คัน ซึ่งในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้ส่งมอบไปแล้ว 10 คัน อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดรถยนต์อีวียิ่งมีผู้เข้ามามากเท่าไร

ก็ถือเป็นเรื่องดี เมื่อทุกฝ่ายช่วยกันสนับสนุนรถยนต์ประเภทนี้ก็จะเกิดง่ายขึ้น และปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น หากมีดีมานด์ที่มากพอ บริษัทแม่เองก็พร้อมจะซัพพอร์ตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเพิ่มขึ้น ทุกคนคงทราบดีว่าอาวดี้ ประเทศไทยมีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากับบีโอไอ และตอนนี้เราได้ทำงานร่วมกับออดี้ เอ.จีอย่างเข้มข้น และมีการดำเนินงานไปแล้วมากกว่า 50-60% ซึ่งหากมีรายละเอียดหรือความคืบหน้าคงได้ทราบกันเร็ว ๆ นี้

ปลื้มใช้เวลา 3 ปีสู่ความสำเร็จ

หลายคนถามผมว่าถึงวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จหรือยัง ต้องบอกว่าจากวันที่เราเริ่มเป็นผู้นำเข้าและได้รับสิทธิการดูแลแบรนด์รถยนต์ออดี้ในประเทศไทยนั้น ผมตั้งใจให้อาวดี้ ประเทศไทยเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า เป็นทางเลือกกับโปรดักต์ และบริษัทแม่เองก็เข้าใจว่าเรากำลังสร้างแบรนด์อย่างมีนัย มีการดูแลเรื่องบริการหลังการขายอย่างใกล้ชิด

วันนี้เราดูแลรถออดี้ได้เป็นอย่างดีเราทำทุกอย่างเพื่อความต้องการของลูกค้า เรามีเซอร์ติฟายเทรนเนอร์ถึง 2 คน ขณะที่ประเทศรอบบ้านเรามีเพียงประเทศละ 1 คน มีการสั่งรถยนต์โมเดลต่าง ๆ ที่หลากหลายมานำเสนออย่างสม่ำเสมอ และมีบางรุ่นที่ประเทศไทยได้เร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้าน นั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าบริษัทแม่ให้ความสำคัญกับตลาดประเทศไทยมากเพียงใด ผมถือว่าหลายอย่างเราทำได้เร็วมาก