บริบทใหม่แบตฯ “3 เค-ฮิตาชิ” สปีดขึ้นเบอร์ 3 ตลาดเอเชีย

ยังคงสร้างกระแสฮือฮาได้อย่างต่อเนื่องสำหรับการเปลี่ยนมือธุรกิจแบตเตอรี่เพียวไทยหนึ่งเดียวอย่าง “3 เค แบตเตอรี่” ภายใต้การนำทัพของ 3 พี่น้องตระกูล “ขอไพบูลย์” กว่า 30 ปี ไปสู่มือกลุ่ม “ฮิตาชิ เคมิคอล” ผู้ผลิตแบตเตอรี่และชิ้นส่วนยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่น

และที่ทุกสายตากำลังจับจ้องก็คือบริบทใหม่ของ “โทชิโนริ โอสุมิ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด และ บริษัท ผลิตภัณฑ์ 3 เค จำกัด ที่ระบุไว้ชัดเจนถึงเป้าหมายสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีและโนว์ฮาวของฮิตาชิ มาซินเนอร์ยี่

กับความแข็งแกร่งทางการตลาดของ 3 เค เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำหนึ่งในสามของตลาดแบตเตอรี่เอเชีย

Q : ความชัดเจนของการควบรวม

วันนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้วว่า กลุ่ม “ฮิตาชิ เคมิคอล” เราเข้ามาถือหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัท ไทยสโตเรจแบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท ผลิตภัณฑ์ 3 เค จำกัด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นที่ 86.9% ส่วนที่เหลืออีก 13.1% นั้น เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย ซึ่งดีลนี้จบลงไปตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

และกลุ่มของผู้ถือหุ้นเดิม คือกลุ่ม “ขอไพบูลย์” นั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของ 3 เค แบตเตอรี่แล้ว

Q : มีแผนซื้อหุ้นเพิ่มเติม

แน่นอนหากมีความเป็นไปได้ และมีโอกาสเราพร้อมที่หาซื้อหุ้นที่เหลือกลับมาเป็นของบริษัทด้วย

Q : เป้าประสงค์ของการเข้ามาครั้งนี้

สำหรับ 3 เค หากจะมองในเชิงการทำตลาด การมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายนั้น ถือว่ามีความแข็งแกร่ง แต่ในส่วนของเทคโนโลยี ตัวสินค้าหรือการพัฒนาโปรดักต์และเทคโนโลยีด้านการผลิต หากจะมองในเชิงของอาร์แอนด์ดีนั้น 3 เค อาจจะมีช่องว่างอยู่มาก ดังนั้นฮิตาชิเข้ามาก็จะโฟกัสและพัฒนาในส่วนนี้ทั้งบุคลากรและเทคโนโลยี

Q : เป้าหมายระยะสั้น-กลาง

ปัจจุบัน 3 เค มีส่วนแบ่งในตลาดแบตเตอรี่ทดแทน (อาร์อีเอ็ม) 23% ถือเป็นเบอร์ 2 ของตลาด ขณะที่ความต้องการของแบตเตอรี่ในประเทศไทยอยู่ที่ 6 ล้านลูกต่อปี แบ่งเป็นตลาดทดแทน 4 ล้านลูก และตลาดจากโรงงานผลิตรถยนต์หรือโออีเอ็ม2 ล้านลูกต่อปี เราตั้งเป้าว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 30% ให้ได้เร็วที่สุดสำหรับตลาดในประเทศไทย

และในส่วนของตลาดเอเชียนั้นตั้งเป้าว่าจะต้องมีส่วนแบ่งตลาดติดอันดับ 1 ใน 3 ที่มียอดขายสูงสุดของภูมิภาคด้วย นั่นหมายความว่าเราจะต้องมียอดขายเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า จากปัจจุบันที่มี

ยอดขายระดับ 3 ล้านลูกต่อปี ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องพยายามขยายสัดส่วนการส่งออก ที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนขายในประเทศ 45% ส่งออก 55% และปีหน้าคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตเพื่อขายต่างประเทศเป็น 70% และตลาดในประเทศ 30% จากปัจจุบันส่งออกไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และมีกำลังผลิต 5-6 ล้านลูกต่อปี

Q : แผนรุกตลาดโออีเอ็ม

ปัจจุบัน 3 เค จะมีความเชี่ยวชาญกับตลาดแบตเตอรี่ทดแทน (อาร์อีเอ็ม) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนตลาดโออีเอ็มนั้นฮิตาชิผลิตแบตเตอรี่ป้อนให้กับค่ายรถยนต์ค่ายหนึ่งที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ และเราเชื่อว่าการควบรวมครั้งนี้จะทำให้สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งและเข้าไปในตลาดโรงงานผลิตรถยนต์ได้มากขึ้น และการเข้าตลาดโออีเอ็มคือเป้าหมายหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่สำคัญที่จะแสดงถึงเทคโนโลยีของผู้ผลิตแบตเตอรี่แต่ละราย

ดังนั้นบริษัทจะเพิ่มน้ำหนักในตลาดนี้ให้ได้มากที่สุด หรือหากเป็นไปได้ใน 5 ปี จากนี้จะมีส่วนแบ่งในตลาดโออีเอ็มให้ได้ระดับ 40-45% ของยอดขายแบตเตอรี่ 3 เค ในประเทศด้วย

Q : ทิศทางอุตฯแบตเตอรี่

ตั้งแต่ช่วงต้นปีมาจนถึงปัจจุบัน ตลาดแบตเตอรี่โดยรวมอยู่ในภาวะซบเซา และยังไม่ดีเท่าที่ควร ตลาดหดตัวลง 7.3% จากความต้องการของตลาดรวมที่ 6 ล้านลูกต่อปี โดยปีนี้คาดว่าอยู่ในภาวะทรงตัว ทั้งนี้เชื่อว่าในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีจากนี้ตลาดแบตเตอรี่โดยรวมจะกลับมามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น อย่างน้อย 4-5% และเทรนด์ของตลาดจะเริ่มเปลี่ยนไปที่แบตเตอรี่เอ็มเอฟ หรือ Maintenance Free มากขึ้น

Q : แผนลงทุนเพิ่มเติม 

ตอนนี้เราคงจะยังลงทุนอะไรใหญ่ ๆ ใหม่ ๆ สิ่งที่ต้องทำคือ การพัฒนาบุคลากร และแผนขยายเครือข่ายจัดจำหน่ายนั้นปัจจุบันมีร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอยู่ 3,000 แห่งทั่วประเทศ และร้าน 3 เค ช็อป อีก 173 แห่งทั่วประเทศ บริษัทยังไม่มีนโยบายขยายเพิ่มแต่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพ และการพัฒนาร้านค้าให้ได้ตรงตามมาตรฐานที่บริษัทกำหนดมากกว่า ส่วนแผนการทำตลาดทุกอย่าง 3 เค ทำไว้ค่อนข้างดีอยู่แล้วและเราจะดำเนินตามแนวทางนั้นต่อไป

ส่วนโอกาสและความสนใจในการพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด วันนี้มองว่าตลาดนี้มีสัดส่วนความต้องการน้อย และบริษัทยังไม่มีแผนหรือให้ความสนใจที่จะเข้าไปในตลาดแบตเตอรี่ประเภทนี้ คงต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร