การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรมธุรกิจ โดย “ธุรกิจบริการรถเช่า” เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่รับแรงกดดันอย่างหนักจากรายได้ที่หดหายไปจำนวนมหาศาล
ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “เฮิร์ทซ” บริษัทผู้ให้บริการรถเช่ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกเป็นรายแรกที่ได้ยื่นขอล้มละลายในสหรัฐและแคนาดา เมื่อ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา จากบาดแผลที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของการระบาด
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ทั้งนี้ การยื่นขอล้มละลายของ “เฮิร์ทซ” บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมเช่ารถยนต์
ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า รายได้หลักของธุรกิจในอุตสาหกรรมดังกล่าวราว 2 ใน 3 เกิดขึ้นจากการปล่อยเช่ารถยนต์ที่สนามบิน ซึ่งการระบาดส่งผลให้ยอดผู้เดินทางทั่วโลกลดลงมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ดังนั้น รายได้ของบริษัทรถเช่าย่อมถูกกระทบอย่างหนักโดยหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับธุรกิจรถเช่ากำลังกลายเป็นผลกระทบลูกโซ่ที่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์
รายงานยังระบุว่า บริษัทรถเช่าเป็นดีมานด์สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์โดยในสหรัฐอเมริกาบริษัทเหล่านี้มียอดซื้อรถยนต์ใหม่กว่า 1.7-1.9 ล้านคัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของยอดขายรถใหม่ในประเทศ
รายงานข่าวยังกล่าวอ้างถึงประกาศจากบริษัทเช่ารถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอีกรายอย่าง “ไรวอล เอวิส บัดเจต” เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า บริษัทจะลดการซื้อรถใหม่ลง 80% ของแผนเดิมที่วางไว้สำหรับปี 2020
นอกจากการหยุดซื้อรถใหม่แล้วนั้น บริษัทเหล่านี้ยังอาจจำเป็นต้องขายรถยนต์ที่ครอบครองไว้ด้วย เพื่อหาสภาพคล่องสำหรับพยุงธุรกิจ
“แจ๊ฟ ชูสเตอร์ส” ประธานของ “แอลเอ็มซี ออโตโมทีฟ” บริษัทผู้ให้บริการด้านข้อมูลและงานวิจัยในอุตสาหกรรมยานยนต์ คาดการณ์ว่าจะมีรถยนต์มือสองของบริษัทเหล่านี้จำนวนกว่า 1.5 ล้านคันที่ถูกขายออกมาในสหรัฐอเมริกาภายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ขณะที่ “โซ ราฮีม” ผู้จัดการฝ่ายวิจัยทางเศรษฐศาสตร์และข้อมูลเชิงลึกของอุตสาหกรรมยานยนต์จาก “ค็อกซ์ ออโตโมทีฟ” คาดการณ์ว่า รถเช่าจำนวนหลายแสนคันจะถูกขายออกมาเพื่อสร้างกระแสเงินสดพยุงธุรกิจของบริษัทเหล่านี้
ช่วงต้นเดือน มี.ค. “เฮิร์ทซ” ได้ขายรถยนต์ของบริษัทออกมาแล้วกว่า 41,000 คันในสหรัฐอเมริกา และอีก 13,000 คันในยุโรป รวมถึง “ไรวอล เอวิส บัดเจต”เปิดเผยว่า ได้ขายรถยนต์ออกมาแล้ว 35,000 จำนวนรถยนต์เหล่านี้ที่จะถูกขายออกมาจำนวนมากจะส่งให้ราคารถยนต์มือสองลดลงเป็นอย่างมาก
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ซึ่งถูกกระทบอย่างหนักอยู่แล้ว เพราะผู้บริโภคเลือกที่ซื้อรถยนต์มือสองที่มีราคาถูกลงมาทดแทน และกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของค่ายรถยนต์หลังการเริ่มกลับมาเดินเครื่องเปิดไลน์การผลิตหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยุติ