เมอร์เซเดส-เบนซ์ปลื้มไตรมาสแรกแบรนด์เอเอ็มจีโตพรวด 54% เปิดโครงการ “Charge to Change” ชวนผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทุกยี่ห้อร่วมกันชาร์จเพื่อเปลี่ยนโลก ลดพีเอ็ม 2.5
นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ไตรมาส 1 ของปี 2563
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
รถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นถึง 54% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว ส่วนรถยนต์ EQ Power หรือรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีสัดส่วนของยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว
และเพื่อช่วยกันดูแลโลก บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “Charge to Change” อย่างเป็นทางการ ชวนผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกับพลังงานน้ำมันหันมา “ชาร์จเพื่อเปลี่ยนโลก” โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย
“ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โควิด-19 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบกับผู้คนทั่วโลก นำไปสู่การที่พวกเราต้องเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อลดการระบาด ส่วนปัญหามลพิษทางอากาศของฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้นั้นดูเหมือนจะบรรเทาเบาบางลงและไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก ทว่าในความเป็นจริง ปัญหานี้ยังอยู่กับเรา ไม่ได้หายไปไหน และการเดินทางด้วยรถยนต์ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิด PM 2.5 ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุชัดเจนว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของฝุ่นละออง PM 2.5 นั้นมาจากการเดินทางโดยรถยนต์ และเฉพาะในกรุงเทพฯเพียงเมืองเดียวก็มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนอยู่มากกว่า 10 ล้านคัน ไม่ว่าจะมีโควิดหรือหลังจากโควิดผ่านพ้นไป ปัญหา PM 2.5 จะยังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทุกภาคส่วนต้องหันมาร่วมมือกัน”
สำหรับโครงการ “Charge to Change” แบ่งออกเป็น 3 เฟส ได้แก่
เฟสที่ 1 การกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
เฟสที่ 2 การสร้างเครือข่ายการชาร์จที่มีความพร้อมและสะดวกมากขึ้นสำหรับผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์
เฟสที่ 3 สู่การสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า