โรลันด์ โฟล์เกอร์ “ตลาดอีวีน่าสนใจ…แต่ไม่รู้เมื่อไหร่”

โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)

กระแสข่าวที่ค่ายดาวสามแฉกเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประกาศพับแผนยุติการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง ๆ ที่เป็นบริษัทแรก ๆ ที่ได้รับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รวมถึงสาธารณชนได้เห็นการใส่เม็ดเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านยูโร กับโรงงานผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งเบนซ์ร่วมมือกับพันธมิตรธนบุรีประกอบรถยนต์ ยังเป็นคำถามคาใจว่าไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ต่อไปนี้คือ คำตอบจากปาก “โรลันด์ โฟล์เกอร์” ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด

Q : เบื้องหลังการยุติแผนทำตลาด EQC ในไทย

มีคนถามผมเยอะเลยว่า EQC จะมาหรือไม่มา สามารถคอนเฟิร์มตามนี้ได้เลยว่า เราไม่ทำตลาดรถ EQC ในไทย ด้วยเหตุผลหลักก็คือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด อยากจะบอกว่าเป็นการยากลำบากมากในการตัดสินใจ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พิจารณาหลาย ๆ อย่าง สุดท้ายเราก็ได้คำตอบว่า สถานการณ์ตอนนี้ดีที่สุดก็คือปลั๊ก-อิน ไฮบริด ครั้งแรกที่เราตัดสินใจว่าเอารถยนต์อีวีเข้ามาทำตลาดเมืองไทยตามโควตาที่ได้จากบีโอไอ แม้จะดูน้อยแต่เราก็ยินดีที่จะทำ แต่พอมาเจอการแพร่ระบาดของโควิด ดูแล้วไม่ไหวจริง ๆ และไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ของโรคนี้จะไปจบเมื่อไหร่ ดังนั้นสิ่งที่ตามมาคือ ตลาดจะพร้อมเมื่อไหร่ เรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐานพร้อมมั้ย เราจึงต้องหยุดโครงการนี้ไว้ก่อน แล้วเริ่มผลักดันโครงการชาร์จทูเชนจ์ เป็นการปูทาง

เพราะสุดท้ายแล้ว รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด คุณสามารถใช้รถไฟฟ้าได้ในระยะทางที่ยาวขึ้นจากเทคโนโลยีของเรา และยังสามารถใช้เครื่องยนต์ที่เป็นน้ำมันในภาวะที่ไม่สามารถชาร์จไฟได้

Q : เบนซ์ยังอยากทำตลาดรถยนต์อีวีอีกมั้ย

แน่นอน เพียงแต่เราคงต้องรอดูความพร้อม ไม่เช่นนั้นเราจะลงทุนจำนวนมหาศาลมากกว่าพันล้านยูโรในโรงงานแบตเตอรี่ทำไม คุณคิดว่าเราไม่อยากเอารถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาขายเหรอ เรามุ่งมั่นเทคโนโลยีของเรามาก การลงทุนในประเทศไทยไม่ได้มองที่ค่าแรงถูก

แต่โรงงานประกอบแบตเตอรี่ที่สมุทรปราการ ถือเป็นฐานผลิตที่ 4 ของโลก ซึ่งเรามีที่เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และจีน ขั้นตอนต่าง ๆ ได้มาตรฐานการผลิตสูงมาก ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบมากถึง 37 ขั้นตอน ซึ่งตอนนี้ถ้าถามตัวผมเองว่าอยากขายรถอีวีมั้ย ผมหวังอยากให้เกิดขึ้นได้ปีนี้ปีหน้าด้วยซ้ำไป แต่ทุกอย่างต้องเป็นสเต็ปบายสเต็ป เราคงต้องอัพเดตสถานการณ์กันบ่อย ๆ ตลาดอีวีน่าสนใจ แต่ก็ต้องดูว่ามีความพร้อมแค่ไหนและเมื่อไหร่

ดังนั้นจึงทำให้เราคิดแคมเปญ “Charge to Change” อย่างเป็นทางการ ชวนผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทุกยี่ห้อร่วมกันชาร์จเพื่อเปลี่ยนโลก ลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น

พร้อมสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้คนไทย แบ่งออกเป็น 3 เฟส ได้แก่ เฟสที่ 1 กระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เมอร์เซเดส-เบนซ์พบว่า ผู้ใช้รถยนต์ EQ Power มักจะไม่ชาร์จพลังงานไฟฟ้า ด้วยสาเหตุสำคัญ 3 ประการคือ ไม่ทราบว่ารถยนต์ของตัวเองชาร์จได้ ไม่ทราบว่าจะชาร์จได้ที่ไหนบ้าง และไม่สนใจที่จะชาร์จเพราะเติมน้ำมันแล้วขับด้วยน้ำมันสะดวกกว่า เราจึงมุ่งสร้างความตระหนักรู้ ทั้งผ่านวิดีโอออนไลน์และการร่วมมือกับบุคคลชั้นนำในวงการต่าง ๆ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่จะกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์รับรู้ว่า เพียงแค่ขับขี่ด้วยโหมดการขับขี่ไฟฟ้าในทุกวัน คุณก็สามารถมีส่วนช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้ทันทีในทุกการขับขี่ และไม่จำเป็นต้องเป็นรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้น แต่ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อินไฮบริดจากแบรนด์ใดก็สามารถมีส่วนช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้นได้เช่นกัน

เฟสที่ 2 การสร้างเครือข่ายการชาร์จ โดยร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายวงการเพื่อขยายเครือข่ายการชาร์จ โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จ เพื่อทำให้ประสบการณ์ในการชาร์จพลังงานไฟฟ้าเป็นประสบการณ์ที่ทั้งสะดวกและเข้าถึงง่ายที่สุด

สำหรับผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์จะเริ่มต้นด้วยการมอบ wallbox สำหรับการชาร์จไฟฟ้าจำนวน 100 ชุด ให้กับพันธมิตรที่เกี่ยวข้องและเฟสที่ 3 สู่การสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า มุ่งหวังให้โครงการนี้มีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นพื้นที่ของการขับขี่ด้วยพลังงานสะอาด ลดปัญหามลพิษทางอากาศ สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น และสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว

Q : ช่วงแพร่ระบาดไวรัสโควิด เบนซ์ช่วยอะไรรัฐบาลไทยบ้าง

ถ้าจะให้บอกเป็นตัวเลขคงบอกไม่ได้ แต่โครงการซีเอสอาร์ของเรามีมาตลอด เช่น การเข้าไปสนับสนุนโรงเรียนเยาววิทย์ จ.พังงา ช่วยยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เยาวชน เพราะ “การศึกษา” ถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของการเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคม

ด้านการศึกษาที่บริษัทดำเนินมาต่อเนื่องกว่า 15 ปี หรือโครงการ ShineForTomorrow ที่เชิญชวนลูกค้าผู้ใช้เมอร์เซเดส-เบนซ์ โพสต์ภาพถ่ายกับรถยนต์ พร้อมเปิดไฟหน้ารถ และเขียนข้อความให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ โพสต์ลงเฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม ทุก ๆ โพสต์ บริษัทจะร่วมสมทบเงินบริจาค 500 บาทได้เงินกว่า 2 ล้านบาท เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือไปยัง 4 โรงพยาบาล ที่เป็นศูนย์กลางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด และล่าสุดโครงการ Charge to Change ซึ่งกำลังผลักดันอย่างจริงจัง

Q : ไม่เข้าร่วมมอเตอร์โชว์จะเสียโอกาสมั้ย

การไม่เข้าร่วมมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ เนื่องจากเรามองเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ ไม่ได้มองแค่การขาย ไม่เกี่ยวกับเรื่องเซฟบัดเจตอะไรทั้งสิ้น เป็นนโยบายบริษัทแม่ เจนีวา มอเตอร์โชว์ เบนซ์ก็ไม่เข้า แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน เราจัดกิจกรรมที่โชว์รูมของดีลเลอร์เราทั่วประเทศ เราสนับสนุนดีลเลอร์ที่ไม่ได้ไปร่วมงานมอเตอร์โชว์ทั้งครีเอตงานการออกแบบซอฟต์แวร์-ฮาร์ดแวร์ ทุกอย่างเราดูแลหมดสื่อโฆษณาเซลส์สามารถส่งต่อให้ลูกค้าเพื่อเข้าใจตัวโปรดักต์เรามากขึ้น นอกจากนี้เรายังมีรถใหม่ ๆที่จะทยอยคลอดในช่วงก่อนมอเตอร์โชว์นี้ด้วย

Q : ผลประกอบการที่ผ่านมา

ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา เราขายได้ 2,200 คัน โตขึ้นราว 30% โดยเฉพาะแบรนด์ AMG โตถึง 54% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้วส่วนรถยนต์กลุ่มปลั๊ก-อิน ไฮบริด ตอนนี้มีสัดส่วนของยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว ส่วนสถานการณ์ตลาดครึ่งปีหลังคงยังไม่มีใครตอบได้นะ เพราะทุกคนยังไม่แน่ใจว่าโควิดจะมาระลอก 2 หรือเปล่า คือเรามองจากเหตุการณ์รอบ ๆ โลกมีการระบาดระลอก 2 เพราะฉะนั้น ในเซาท์อีสต์เอเชียไม่มีใครตอบได้ว่าจะดีขึ้น หรือไม่ดีขึ้น และเบนซ์ยังเชื่อว่ากว่าที่จะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้คงไม่ได้เกิดขึ้นภายในปีเดียว