“เบนซ์” ลั่นเลิกขายรถต่ำ 2 ล้าน ปลื้ม GLB ลูกค้าตอบรับดีลุยปลุกตลาดอีวี

โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธาน เบนซ์ ประเทศไทย

เบนซ์ลั่นไม่ขึ้นไลน์ผลิต GLB ในไทย ย้ำทั่วโลกซัพพลายลูกค้าคนไทยได้หายห่วง  เลิกทำตลาดรถราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ยังเดินหน้าขับเคลื่อนรถอีวี ชูโครงการ Charge to Change ช่วยผลักดัน เผยผลดำเนินงานครึ่งปีแรกเข้าเป้าบริษัทแม่ทั้งวอลุ่มและเซอร์วิส

นายโรลันด์ โฟลเกอร์ ประธาน บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความสำเร็จของเบนซ์ไทยแลนด์ในช่วงที่ผ่านมา หลังจากทุกภาคส่วนต้องต่อสู้กับวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าว่า บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่บริษัทแม่กำหนดไว้ทุกประการ

โดยเฉพาะล่าสุดหลังจากเปิดตัวรถเอสยูวีรุ่นใหม่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลบี (GLB) รถเอสยูวีขนาด 7 ที่นั่ง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า จนล่าสุดได้มีตัวแทนจำหน่ายเริ่มเข้ามาหารือเพื่อติดต่อขอเพิ่มโควตารถรุ่นนี้เพื่อจำหน่ายเพิ่มเติมซึ่งสวนทางกับสภาพตลาดโดยรวม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความต้องการและความนิยมของรถรุ่นนี้จะมีจำนวนมาก แต่บริษัทยืนยันไม่มีการขึ้นไลน์ประกอบ GLB ในประเทศไทย และยังคงเป็นการนำเข้าหรือซีบียูรถรุ่นนี้เข้ามาจำหน่าย เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังสามารถดึงซัพพลายจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้

“ปัจจุบันไทยและจีนถือว่าเป็นตลาดที่ฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ ดังนั้นการจะดึงซัพพลายรถรุ่นนี้รองรับกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยจึงไม่ใช่เรื่องยาก ประกอบกับเรามีนโยบายชัดเจนว่าจะไม่มีรุ่นผลิตในประเทศ ดังนั้นลูกค้าที่ต้องการ สามารถตัดสินใจซื้อได้เลย เพราะจะไม่มีราคาที่ถูกกว่านี้แล้ว”

นายโฟลเกอร์ยังกล่าวถึงนโยบายของบริษัทว่า มีเป้าหมายชัดเจนในการเข้าไปเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม “ยังเกอร์” ที่ต้องการขยับเข้ามาหาแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์มากขึ้น

ประธาน บริษัท เมอร์เซเดส ประเทศไทย ยืนยันว่าว่า บริษัทยังไม่มีนโยบายในการนำรถราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทเข้ามาจำหน่ายโดยการเพิ่มรุ่นย่อย เนื่องจากได้มองในระยะยาวว่าไม่มีความคุ้มค่ากับการลงทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อมั่นว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวเมอร์เซเดส-เบนซ์

“เราต้องการแข่งขันด้วยการเพิ่มความแข็งแกร่งและต่อยอดจากกลุ่มลูกค้ามากกว่าการแข่งขันด้วยการเร่งสร้างวอลุ่ม”

โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธาน บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)
นายโรลันด์ โฟลเกอร์ ประธาน บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)

ความคืบหน้า EV

ส่วนความคืบหน้าของการทำตลาดรถอีวีนั้น บริษัทยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะรถยนต์ประเภทนี้ไม่ได้มีเพียงแค่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่บริษัทยังมีรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด และรถในตระกูลอีคิว ซึ่งมีส่วนแบ่งของยอดขายอยู่ราว 25%

แม้ว่าขณะนี้บริษัทยังรอความชัดเจนในเรื่องการดำเนินงานด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ แต่ขณะเดียวกันก็ได้ขับเคลื่อนผ่านโครงการ “Charge to Change” เพื่อชวนผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด หันมา “ชาร์จให้โลกใบนี้ดีขึ้น” โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย

เนื่องจากบริษัทเชื่อว่าอย่างไรก็ตามความนิยมในการใช้งานรถประเภทนี้น่าจะเกิดขึ้นภายใน 2-5 ปี จากนี้ก็น่าจะได้เห็นความชัดเจนต่าง ๆ

ส่วนก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการยกเลิกจุดชาร์จไฟให้กับรถยนต์ตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ นั้น เนื่องจากหมดสัญญาการเช่าพื้นที่ แต่จากนี้ไปบริษัทยังส่งเสริมให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเรื่องจุดชาร์จไฟฟ้า สำหรับรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด และอีวี ด้วยการสนับสนุน wallbox ให้กับพันธมิตร (หน่วยงานราชการ, เอกชน) 100 ชุด เพื่อทำเป็นสถานีชาร์จรองรับรถยนต์ไฟฟ้าทุกยี่ห้อแทน

“เราเชื่อว่า ถ้าทุกคนหันมาร่วมมือกันผลักดันตรงนี้ น่าจะได้เห็นการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจนด้วย”

สำหรับผลประกอบการของเมอร์เซเดส-เบนซ์ใน 6 เดือนแรก มียอดขายทั้งสิ้น 4,032 คัน มีส่วนแบ่ง 45% ในตลาดรถหรู แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้เข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ แต่ได้มีการจัดกิจกรรมการขายที่โชว์รูม ในช่วงเวลาเดียวกัน กลับได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมียอดจองมากกว่า 1,000 คัน ถือว่าเกินความคาดหมาย