“ทาเคชิ คาซาฮาระ” ถึงตลาดจะวิกฤต แต่ “อีซูซุ” ไม่ติดลบ

สัมภาษณ์

อุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเจอมรสุมครั้งใหญ่จากวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งการถาโถมของวิกฤตโควิด ส่งผลให้ตลาดโดยรวมลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในแง่ของยอดผลิตและยอดขาย

แต่ในวิกฤตยังมีโอกาส เพราะเห็นได้ว่ามีรถยนต์ในบางกลุ่มที่ยังคงมีการเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มรถปิกอัพที่เรียกว่าสะเทือนน้อยที่สุดจะเป็นด้วยเหตุและปัจจัยอย่างไร วันนี้ “ทาเคชิ คาซาฮาระ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด จะมาบอกเล่าถึงแนวโน้มของตลาดในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ และเหตุผลสำคัญที่ทำให้อีซูซุเป็นค่ายรถยนต์เพียง 1-2 ค่ายที่จะมีตัวเลขไม่ติดลบในปีนี้ ไปติดตามกัน

Q : ปิกอัพเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยสุด

จากตัวเลขยอดขายในช่วง 10 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-ต.ค.) จะเห็นว่ายอดขายรถยนต์โดยรวมอยู่ที่ 608,844 คัน เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว ลดลงประมาณ 27%

ขณะที่รถปิกอัพมียอดขายที่ 283,478 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว 20% ซึ่งถือว่าตลาดปิกอัพหดตัวน้อยกว่าตลาดรวม ส่วนช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ตลาดเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา และเชื่อว่าในช่วงเวลานี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้ ยอดขายรถยนต์น่าจะไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน

ส่วนตลาดรถปิกอัพนั้นมีการหดตัวน้อยกว่าตลาด ทั้งนี้เป็นผลมาจากในช่วงวิกฤตโควิด ผู้คนส่วนใหญ่ต้องอยู่กับบ้าน มีการทำงานกันที่บ้าน หรือ work from home ส่งผลให้ธุรกิจ e-Commerce ขยายตัว โดยเฉพาะการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้รถปิกอัพเป็นที่ต้องการในการขนส่งมากขึ้น

ประกอบกับคนได้เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม มีการมองหาอาชีพใหม่ ๆ เปลี่ยนงาน เปลี่ยนอาชีพ และมักจะซื้อรถปิกอัพในการทำธุรกิจเพราะใช้ได้ทั้งบรรทุกคนและสิ่งของ

และอีกปัจจัยหนึ่งคือ คนส่วนใหญ่เริ่มประกอบอาชีพเสริม มีการรับส่งของ การใช้รถปิกอัพจึงสะดวกกว่า ซึ่งไม่เฉพาะแต่รถปิกอัพเท่านั้นที่มีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของรถบรรทุกขนาดเล็กอย่างอีซูซุ เอลฟ์ ก็ยังเป็นที่ต้องการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Q : ผลการดำเนินงานของอีซูซุ

ตอนนี้จากตัวเลขที่มี 10 เดือนแรกรถอีซูซุทุกรุ่นขายได้ 140,700 คัน เทียบกับ 10 เดือนแรกของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 2.1% เป็นผลมาจากการที่รถอีซูซุขายดีมากช่วงนี้เกิดจากคุณภาพรถที่ดีมาก และราคาขายต่อรถมือสองอีซูซุราคาดี ลูกค้าจึงให้ความสนใจ แบ่งเป็นรถปิกอัพอีซูซุดีแมคซ์จำนวน 126,098 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 7.7% เป็นผลจากการเปิดตัวรถใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งมาทำยอดขายในปีนี้ และการเปิดตัวรถรุ่นความสูงมาตรฐานเกียร์ออโตเมติก ซึ่งรถเกียร์ออโต้ได้รับความนิยมจากลูกค้าผู้หญิงมากขึ้น และยังมีการเปิดตัว X-Series ใหม่อีกด้วย

ขณะที่ออลนิวอีซูซุมิว-เอ็กซ์ ที่เพิ่งเปิดขายเป็นทางการเมื่อ 12 พ.ย. ตอนนี้มียอดจองกว่า 4,000 คัน

ส่วนตลาดรถบรรทุกขนาดกลาง-ใหญ่ขายได้ 20,193 คัน ลดลงจากปีก่อน 19.3% ซึ่งเป็นยอดขายรถอีซูซุ 10,377 คัน ลดลงไป 18.3%

Q : เกิดอะไรขึ้นกับตลาดพีพีวี

ช่วงที่ผ่านมาตลาดรถพีพีวีอาจจะติดลบค่อนข้างเยอะ เนื่องจากตลาดนี้แตกต่างจากตลาดรถปิกอัพอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากลูกค้าที่ซื้อรถพีพีวีไปใช้งานนั้นจะเน้นการใช้งานเพื่อการโดยสารเป็นหลัก ดังนั้นในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ส่งผลให้ลูกค้าจะชะลอการตัดสินใจซื้อ ประกอบกับมีข่าวว่าจะมีการเปิดตัว ออลนิวอีซูซุมิว-เอ็กซ์ออกมาเรื่อย ๆ ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจ รอการเปิดตัวก่อน

ส่วนรถปิกอัพตอนเดียว รุ่น Spark ขายได้เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว เพราะเป็นรถใช้งานเมื่อจำเป็นต้องใช้ก็ต้องเปลี่ยนไม่เหมือนกับรถรุ่นท็อปที่อาจเปลี่ยนช้าหน่อยได้ ส่วนเทรนด์รถแต่งกำลังมาแรง โดยเฉพาะแนวเรซซิ่ง ซึ่งอีซูซุเห็นเทรนด์นี้มาก่อน ตอนที่ออกแบบรถ ดีไซเนอร์จะคิดมาแล้วว่าลูกค้าจะเอาไปแต่งเพิ่มอย่างไรได้บ้าง

Q : ธุรกิจรถมือสองดีขึ้นต่อเนื่อง

อีซูซุเราได้ขยายธุรกิจจำหน่ายรถมือสองออนไลน์ “โอมาคาเสะคาร์” โดยขณะนี้ได้เปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขาใหม่เมื่อต้นเดือนตุลาคม โดยมีสาขาต่างจังหวัดสาขาแรกที่ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และสาขางามวงศ์วาน จากก่อนหน้านี้มีสาขาเกษตร-นวมินทร์ และสาขารัตนาธิเบศร์

ด้วยจุดเด่นของ “โอมาคาเสะ” ที่มีรถยนต์มือสองให้ลูกค้าเลือกชมถึง 500 คัน และที่สำคัญ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือ การเลือกจำหน่ายรถมือสองเกรดพรีเมี่ยมและมีการรับประกัน 6 เดือน ซึ่งรถปิกอัพมือสองขายดีมาก เพราะลูกค้าเอาไปใช้ทำงานขนส่งสินค้า โดยยอดขายโอมากาเสะ 60% เป็นรถอีซูซุ

Q : ประเมินตลาดรถยนต์ปีนี้ ปีหน้า

สำหรับปีนี้ อีซูซุคาดว่ายอดขายรถจะอยู่ที่ 770,000 คัน ไม่น่าถึง 800,000 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว 25% อย่างไรก็ตามยังคิดว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น เพราะครึ่งปีหลังนี้ตลาดรถค่อย ๆ ฟื้นตัว ถ้าไม่มีการระบาดของโควิด-19 รอบสอง

ส่วนปัจจัยลบที่ต้องคำนึงถึง คือ 1.เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวเร็วขนาดไหน มีผลกระทบกับการส่งออก เนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการส่งออก 2.วัคซีนจะใช้จริงได้เมื่อไหร่/มีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ และไทยจะได้รับวัคซีนมาใช้เมื่อไหร่ ตามคาดการณ์คือประมาณกลางปีหน้า ถ้าเป็นไปตามนั้นจะทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัว แต่ช่วงที่ยังไม่มีวัคซีน ไทยต้องร่วมมือกันประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านไปให้ได้

ขณะที่ปีหน้านั้นคาดหวังว่า ตลาดรถปีหน้ามียอดขาย 850,000 คัน เป็นการคาดการณ์ภาวะตลาดที่ยากมาก เพราะตอนนี้มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนค่อนข้างมาก และอาจมีปัจจัยที่ยังไม่รู้เกิดขึ้นอีก ต้องรอดูสถานการณ์อีกที