“โรงงานเอเอที” ปรับไลน์ผลิต เทน้ำหนักเก๋ง-SUV ปล่อยอีซูซุดูแลปิกอัพ

มาสด้าเร่งปรับไลน์ผลิตโรงงานเอเอที หลังโยก “บีที-50” ให้อีซูซุดูแล เกลี่ยกำลังผลิตใหม่เพิ่มสัดส่วนรถยนต์นั่งและเอสยูวี มั่นใจลดระยะเวลารอรถลงได้เยอะ ส่วนปิกอัพใหม่ชูจุดขาย “ราคา-บำรุงรักษา” ประหยัดกว่าคู่แข่งทุกยี่ห้อ

นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับสัดส่วนการผลิตรถยนต์มาสด้าที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ (เอเอที) ซึ่งเดิมผลิตทั้งรถยนต์นั่ง เอสยูวี และปิกอัพ บีที-50 โปร โดยปัจจุบันมาสด้าบีที-50 ใหม่ ได้โยกไลน์ผลิตไปไว้กับพันธมิตรโรงงานอีซูซุที่ฉะเชิงเทราดูแลแทน เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก โดยมีโควตากำลังผลิต 40,000 คันต่อปี

“ช่วงแรกจะส่งออกไปยัง 3 ประเทศหลัก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และกลุ่มประเทศอาเซียน และถ้าหากความต้องการมีเพิ่มขึ้น ก็สามารถเจรจากับพันธมิตรเพิ่มกำลังผลิตได้”

นายชาญชัยกล่าวอีกว่า “ไลน์ผลิตที่ว่างก็จะเพิ่มสัดส่วนรถยนต์นั่งและเอสยูวี ซึ่งจะสามารถผลิตได้เพียงพอกับความต้องการ ลดระยะเวลาการรอรถของลูกค้าได้มาก แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่าง ๆ ยังไม่เอื้ออำนวยโดยเฉพาะโควิด ซึ่งเมื่อตลาดเริ่มดีขึ้น เราน่าจะได้เห็นความชัดเจนตรงนี้อีกครั้ง” นายชาญชัยกล่าว

สำหรับโรงงานเอเอที ซึ่งมาสด้ามีกำลังผลิต 135,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์นั่งและรถเอสยูวี 70% และปิกอัพ 30% รองรับตลาดส่งออก ทั้งแอฟริกา ละตินอเมริกา อนาคตเมื่อประเทศเหล่านี้ได้เปิดตัวบีที-50 ใหม่ไลน์ผลิตในโรงงานเอเอทีก็ต้องหยุดไป

สำหรับมาสด้า บีที-50 ใหม่ ที่ออกสู่ตลาดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 บริษัทพร้อมส่งมอบได้ทันที โดยตั้งเป้ายอดขาย 15,000 คัน และจะมีส่วนแบ่งในตลาดปิกอัพ 4-5%

ขณะที่ทั้งปีมาสด้าตั้งเป้ายอดขาย 50,000 คัน จากยอดขายรถยนต์โดยรวมปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะมียอดขาย 840,000 คัน โดยมาสด้าคาดหวังกับส่วนแบ่งตลาด 6% จากปีก่อนที่มียอดขาย 40,000 คัน ส่วนแบ่งตลาด 4-5%

“เราค่อนข้างตั้งความหวังไว้กับเซ็กเมนต์นี้มาก เนื่องจากปิกอัพมีสัดส่วนถึง 50% ของตลาดรถยนต์บ้านเรา ซึ่งหากมาสด้า บีที-50 กลับไปมียอดขายที่ระดับ 28,000 คันต่อปีเหมือนที่เคยทำได้น่าจะเป็นเรื่องดี และเราจะค่อย ๆ ไต่ไปให้ถึง หรืออย่างน้อยต้องมีส่วนแบ่งตลาดปิกอัพให้ได้ถึง 5%”

นายธีร์ เพิ่มพงษ์พันธ์ รองประธานฯมาสด้าชูจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบภายใต้โคโดะดีไซน์ ที่เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเติมเต็มทุกมิติของชีวิต ให้รถคันนี้เป็นเสมือนพาร์ตเนอร์ที่จะพาไปสู่ทุกเป้าหมายใช้งานได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง

โดยมีรถให้ลูกค้าเลือกถึง 14 รุ่นย่อย 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3 ลิตร 190 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 1.9 ลิตร 150 แรงม้า ระดับราคาเริ่มต้น 553,000-1,153,000 บาท และประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในโลกที่เปิดตัวมาสด้า บีที-50 รุ่นฟรีสไตล์แค็บ (ประตูตู้กับข้าว)

สำหรับบีที-50 ใหม่ มีจุดเด่นเรื่องความประหยัด ราคาขายที่เทียบรุ่นต่อรุ่นและแคมเปญพิเศษ ดอกเบี้ย 1.99%

นอกจากนี้ค่าบำรุงรักษายังต่ำกว่าคู่แข่ง โดย 10,000 กิโลเมตรแรกมีค่าใช้จ่ายเพียง 1,000 บาท มาสด้ายังมีคูปองมูลค่า 500 บาท จำนวน 3 ใบ สำหรับการเข้าศูนย์บริการหรือตลอดระยะเวลา 5 ปี ลูกค้าจะมีค่าใช้จ่ายในการเข้ารับการบำรุงรักษาเพียง 20,000 บาทเท่านั้น