“ทีโอเอ” ปรับพอร์ตหมื่นล้าน ลุยรีเทล-ขายรถหรูมือสอง

ทีโอเอ เวนเจอร์ฯ ปรับแผนลงทุนในพอร์ตธุรกิจใหม่ โฟกัสกลุ่มธุรกิจทำกำไร เทเม็ดเงินลงทุนสวนกระแสโควิดและเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ชูจุดแข็งกลุ่มค้าปลีกรถยนต์และรีเทล จ้องผุดสาขาดองกิเพิ่มปีนี้ 2 แห่ง วาดฝัน 5 ปี พรึ่บ 20 สาขาคลุม กทม.และหัวเมืองใหญ่ พร้อมแตกบริการธุรกิจรถมือสองทั้งเบนซ์และเอ็มจี โกยรายได้ทั้งกรุ๊ปทะลุ 12,000 ล้านบาท

นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (TOAVH GROUP) บริษัทในเครือทีโอเอผู้นำธุรกิจสีในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า แผนขยายการลงทุนปี 2564 บริษัทจะโฟกัสไปยังกลุ่มธุรกิจดาวรุ่งหรือทำกำไรได้มาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันและยกระดับความพึงพอใจลูกค้า ซึ่งอาจจะสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่ในส่วนวิกฤตโควิดน่าจะดีขึ้นหลังประเทศไทยได้วัคซีน

โดยทีโอเอ เวนเจอร์ฯมีนโยบายชัดเจนที่จะไม่หยุดพัฒนาและการลงทุน เพราะเชื่อว่าในช่วงวิกฤตย่อมมีโอกาส ดังนั้น บริษัทจะอาศัยช่วงเวลานี้ลงทุนและขยายพอร์ตธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจรีเทลและออโต ซึ่งคาดว่าปีนี้จะใช้เงินลงทุนเกือบ 1,000 ล้านบาทต่อยอดให้กับธุรกิจ

ณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ

ลุยเปิดดองกิทุกหัวเมืองใหญ่

อย่างไรก็ตาม ทีโอเอ เวนเจอร์ฯจะมีการลงทุนคิดเป็นเงินราว ๆ 300 ล้านบาท เพื่อขยายจำนวนสาขาของศูนย์การค้าดองกิเพิ่มอีก 2 สาขาภายในปีนี้ จากปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ทองหล่อและราชดำริ เล็งพื้นที่ห้างซีคอนสแควร์ ย่านศรีนครินทร์ และอีกสาขาจะใช้พื้นที่ใจกลางเมืองย่านปทุมวัน ซึ่งน่าจะเป็นศูนย์การค้ามาบุญครอง และมีแผนจะลงทุนขยายให้ครบ 20 แห่งภายใน 5 ปีจากนี้ (2564-2569) ในกรุงเทพฯและตามจังหวัดหัวเมืองใหญ่

“ทั้งหมดนี้น่าจะต้องใช้เงินราว ๆ 3,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยสาขาละ150 ล้านบาทขึ้นอยู่กับรูปแบบแพลตฟอร์มที่เหมาะสมในแต่ละสาขาหรือแต่ละพื้นที่ ห้างดองกิถือเป็น 1 ใน 2 ธุรกิจหลักที่แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด เนื่องจากลูกค้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและมีการจับจ่ายตรงนี้เพิ่มขึ้นมาก”

สร้างกำไรกลุ่มรถยนต์เพิ่ม

ส่วนอีกธุรกิจคือกลุ่มค้าปลีกรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์จำนวน 1 สาขา, เบส ออโต้เซลส์ จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีจำนวน 10 สาขา และไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ จำหนายรถยนต์ซูซูกิอีกจำนวน 3 สาขา แม้ว่าปีนี้ยังไม่มีแผนขยายเพิ่มจำนวนโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์ทั้ง 3 ยี่ห้อเพราะต้องรอนโยบายจากบริษัทแม่ทั้ง 3 แบรนด์ว่าจะให้เพิ่มในพื้นที่ใดบ้างที่เหมาะสม

“เรากำลังรออยู่และเตรียมความพร้อมที่จะเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะถ้าเป็นพื้นที่ใน จ.เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่ง 2 พื้นที่นี้เรามีความถนัดและเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เล็งเห็นโอกาสที่จะกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจการให้บริการหลังการขายเพื่อสร้างผลกำไรให้มากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งได้ลงทุนสร้างโชว์รูมและศูนย์บริการขนาดออโตเฮาส์ 600 ไปเมื่อปีก่อนด้วยงบฯลงทุน 1,100 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าด้านบริการหลังการขายดีมาก ทำให้ต้องขยายการลงทุนงานบริการหลังการขายด้วยการซื้อลิฟต์เพิ่มอีก 10 ตัว เป็น 30 ตัว ซึ่งเดิมรองรับบริการได้ 9,000 คันต่อปี ขยายเป็น 15,000 คันต่อปี และลงทุนโซลาร์รูฟท็อปอีกกว่า 20 ล้านบาท พร้อมทั้งจะบุกธุรกิจการจัดจำหน่ายรถยนต์มือสอง เมอร์เซเดส-เบนซ์มือสอง โดยปรับปรุงพื้นที่ชั้น 3 ของโชว์รูมเพื่อเตรียมให้บริการในเดือนเมษายนนี้

เร่งขยายตลาดรถใช้แล้ว

จากนั้นในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 บริษัทจะลงทุนศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองของแบรนด์เอ็มจี ซึ่งใช้ชื่อเต็ม ๆ ว่า “Approved Certified Used Car by MG” ขึ้นอีก 1 สาขา เพื่อรองรับและให้บริการลูกค้าเอ็มจีได้อย่างครบวงจรเป็นสาขานำร่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดและมองหาพื้นที่เหมาะสมในเขตกรุงเทพฯเป็นหลัก คาดว่าจะใช้งบฯลงทุนไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท

ส่วนอีก 2 กลุ่มธุรกิจ คือ ธุรกิจสีอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนยานยนต์นั้น ปีนี้ยังไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมใด ๆ เนื่องจากต้องรอดูทิศทางและแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก มีเพียงจัดซื้อเครื่องจักรมูลค่า 190 ล้านบาทมาเพื่อเพิ่มไลน์ผลิตกระดาษทรายเท่านั้น เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ก็จะมีการลงทุนเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเพื่อให้แข่งขันได้มากขึ้น

ทั้งกรุ๊ปโตทะลุ 1.2 หมื่นล้าน

สำหรับผลประกอบการปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ทั้งสิ้น 11,600 ล้านบาท โตขึ้น 14% จากปี 2562 ซึ่งมีรายได้เพียง 10,200 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ 42% คิดเป็นเม็ดเงิน 6,500 ล้านบาท โตขึ้น 12% ธุรกิจสีอุตสาหกรรมติดลบ 6-7% และชิ้นส่วนยานยนต์ติดลบ 30% โดยทั้ง 2 ธุรกิจมีรายได้คิดเป็น 45% ของรายได้รวม ส่วนกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์อยู่ในภาวะทรงตัวเท่าปีก่อนและมีรายได้คิดเป็น 8% ขณะที่กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และรีเทลมีรายได้ 2%

ส่วนปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% จากปีก่อน และสัดส่วนรายได้จะเปลี่ยนไปโดยจะมีรายได้จากธุรกิจการจำหน่ายรถยนต์เพิ่มเป็น 55% ธุรกิจสีและชิ้นส่วนยานยนต์ลดลงไปเหลือ 35% เท่านั้น ที่เหลือเป็นอื่น ๆ

“ปีที่ผ่านมารายได้จากธุรกิจขายรถเราโตขึ้นมากเนื่องจากเราเริ่มขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์จำนวน 6,500 ล้านบาท ของกลุ่มรถยนต์แบ่งเป็น เบนซ์ 2,500 ล้านบาท เอ็มจี 3,200 ล้านบาท และซูซูกิอีก 700 ล้านบาท ส่วนในปีนี้เราเชื่อว่าทุกแบรนด์จะมียอดขายเติบโตและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นแน่นนอน” ณัฏฐวุฒิกล่าว