“เมอร์เซเดส-เบนซ์” เพื่ออากาศสะอาด

ในช่วงเวลาที่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย และทุกคนยังคงต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งปัญหาที่หลายคนอาจจะลืมไปชั่วขณะ ทั้งที่ปัญหานี้ยังมีอยู่ต่อไปในประเทศไทย ก็คือเรื่องมลพิษทางอากาศจาก PM 2.5

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นเจ้าภาพประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาด (Clean Air Initiative) อย่างเป็นทางการ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย หอการค้าเยอรมัน-ไทย รวมถึงบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ทอร์คีโด เอเชีย-แปซิฟิค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจากเยอรมนีที่เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในประเทศไทยเป้าหมายทำทุกอย่างเพื่อให้อากาศสะอาดขึ้น

นายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย เผยว่า การนำเสนอทางเลือกใหม่ในเชิงธุรกิจที่มีความยั่งยืนและเป็นประโยชน์กับผู้คนในวงกว้าง ด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคตคือทางออกที่ดีที่สุด

การประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาดในวันนี้ จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของหอการค้าเยอรมัน-ไทย และสมาชิกซึ่งเป็นบริษัทจากเยอรมนีที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย

นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาดในครั้งนี้ ถือว่าสอดคล้องกับพันธกิจและสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ทำอย่างต่อเนื่องมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการวางเป้าหมายในการเป็นบริษัทที่เป็นกลางทางคาร์บอนในทุกโรงงานผลิตของเราทั่วโลก ในปี 2565

จนถึงการที่ริเริ่มโครงการ “Charge to Change” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย

นอกจากนี้ยังวางเป้าหมายไว้อีกว่า ภายในปี 2573 ร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ต้องเป็น xEVs ซึ่งหมายถึงรวมทั้งรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100%

“เราได้จัดจำหน่ายรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ในประเทศไทยไปแล้วกว่า 20,000 คันตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน การนำโครงการ Charge to Change มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Clean Air Initiative จะช่วยสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศในไทยอย่างต่อเนื่องและได้ผล”