“มาสด้า” วอนลูกค้ารออีวี 3 ปี แก้ภาวะราคาเฟ้อหั่นทุกรุ่น 5 หมื่น-แสนบาท

“มาสด้า” กลัวตกขบวนรถยนต์ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า วอนลูกค้าอดใจรอขอเวลา 3 ปีมาแน่ ย้ำอุตฯรถยนต์บ้านเราอยู่ในภาวะ “ราคาเฟ้อ” โดยเฉพาะกลุ่มซี-คาร์ แก้เกมลดราคาเอสยูวีทุกซีรีส์ พร้อมเพิ่มคุณค่าในตัวผลิตภัณฑ์ ยอมรับบีที-50 พลาดเป้า คลอดแล้วเกือบปีได้แค่พันคัน

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กระแสรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังแรง และเป็นเทรนด์ของทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย มาสด้ายืนยันว่าพร้อมจะตอบสนองความต้องการลูกค้าหลังจากได้รับแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ มั่นใจว่าตามแผนงานที่ยืนไว้ภายในระยะเวลา 3 ปี จะต้องมีรถยนต์จากโครงการดังกล่าวออกสู่ตลาด หรือราว ๆ ปี 2566 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับบริษัทแม่

เช่นเดียวกับแผนการแนะนำรถยนต์เอสยูวีซีรีส์ใหม่ ตอนนี้มาสด้าพยายามเสริมทางเลือกให้ลูกค้าทั้งเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเจเนอเรชั่นใหม่ รวมทั้งเครื่องยนต์ที่จะใช้ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือไฮบริด ซึ่งเป็นแผนก่อนที่จะเดินไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2593

“การพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายในให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นก็ยังเป็นแนวนโยบายหลักของมาสด้า ด้วยแผนระยะกลางที่ต้องการเดินหน้าสร้างความคุ้มค่าใหม่ให้กับเครื่องยนต์สันดาปภายในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน”

นายธีร์ยังกล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในช่วงที่ผ่านมาว่า อยู่ในภาวะ “ราคาเฟ้อ” โดยเฉพาะรถยนต์ในกลุ่มซี-คาร์ ที่มีราคาขายไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นมาสด้าจึงเป็นผู้นำปรับลดราคาขายมาสด้า3 ลง 50,000 บาทเเละเพิ่มความคุ้มค่าในผลิตภัณฑ์ เช่นเดียวกันกับรถยนต์ในกลุ่มเอสยูวี มาสด้าก็มีความตั้งใจจะลดภาวะ “ราคาเฟ้อ” ก่อนปรับเปลี่ยนไปสู่รถไฟฟ้าในอนาคต

ล่าสุดบริษัทเปิดตัวรถเอสยูวี มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 และซีเอ็กซ์-8 โดยเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงรถได้ง่ายขึ้น ด้วยรุ่นรถที่หลากหลายและราคาขายที่จับต้องได้ง่าย อย่าง ซีเอ็กซ์-5 เพิ่มรุ่นเริ่มต้นและปรับลดราคาลง 90,000 บาท ส่วนรุ่นซีเอ็กซ์-8 ลดลง 100,000 บาท

รองประธานอาวุโสมาสด้ากล่าวถึงโปรเจ็กต์รถยนต์ใช้แล้ว (มือสอง) ที่เริ่มทดลองดำเนินการตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ MAZDA CERTIFIED PRE OWNED เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าและรองรับบริการลูกค้าได้อย่างกว้างขวางซึ่งขณะนี้มีอยู่ 9 แห่ง และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 28 แห่ง จากนั้นในปี 2566 เพิ่มเป็น 36 แห่งด้วย

“ตลาดมือสองยังไปได้ดี ขณะที่ตลาดรวมรถใหม่ปีนี้น่าจะทำได้ 720,000-750,000 คัน ลดลงจากปี 2563 เล็กน้อย ทั้งนี้เป็นผลกระทบหลัก ๆ มาจากโควิด และปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงซัพพลายเชนต่าง ๆ โดยมาสด้านั้นคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 5% หลังจากในช่วง 10 เดือนแรกมียอดขาย 28,327 คัน ลดลง 6% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 16,016 คัน ลด 11% เอสยูวีโต 19% โดยหลัก ๆ มาจาก ซีเอ็กซ์-3 และซีเอ็กซ์-30”

ขณะที่รถปิกอัพ มาสด้า บีที-50 ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นปี ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จตามคาด มียอดขายเพียง 1,032 คัน แต่เชื่อว่ารถรุ่นนี้จะค่อย ๆ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น

รวมทั้งบริษัทจะเดินหน้าผลักดันด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

“หากจะเปรียบเทียบยอดขายในช่วงเดือนสิงหาคมถือว่าเราได้ผ่านช่วงตกต่ำที่สุดเนื่องจากผลกระทบของโควิดมาแล้ว ขณะที่ปี 2563 ที่ผ่านมา เดือนเมษายนคือเดือนที่มียอดขายตกต่ำที่สุด ตอนนี้เหลือเวลาอีก 3 เดือน แน่นอนว่ายอดขายคงไม่กลับขึ้นไปสูงเท่าปีที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าทุกค่ายพยายามเดินหน้าทำตลาดกันอย่างเต็มที่แน่นอน”