มาสด้า สกายแอคทีฟ ตะลุย East-West Economic Corridor

รายงานโดย วุฒิณี ทับทอง

ขบวนรถยนต์มาสด้า สกายแอคทีฟหลากรุ่น ไล่เรียงตั้งแต่ มาสด้า 2, มาสด้า 3, ซีเอ็กซ์-3, ซีเอ็กซ์-5 เรียกว่าครบทุกไลน์ผลิต และจำหน่ายในบ้านเรากับฝูงบินต่ำ “มาสด้า ดีเอ็นเอ สกายแอคทีฟ คาราวาน” ครั้งนี้

ออกสตาร์ตในวันแรก จากเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ก่อนตัดกลับบ้านเรา ผ่าน สปป.ลาว เข้าทาง จ.มุกดาหาร และกลับสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ในเส้นทางแรก

ปล่อยไม้ต่อให้ เส้นทางที่ 2 ซึ่งออกสตาร์ตจากเมืองพิษณุโลก ตัดผ่านเมียวดี สู่เมืองท่า เมาะละแหม่ง ฝั่งเมียนมา เข้ามัณฑะเลย์ จบสิ้นสุดที่เมืองหลวงเก่า ย่างกุ้ง

และ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รับไม้ต่อไม้สุดท้าย…กับขบวนรถมาสด้า สกายแอคทีฟ ทั้งหมดกลับบ้านเราในเส้นทางย่างกุ้ง แม่สอด จ.ตาก แล้วยิงตรงกลับ เข้ากรุงเทพฯ เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของบนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ East-West Economic Corridor ที่เรียกว่า R 12 และ R 9รวมระยะทางกว่า 2,900 กิโลเมตร

หมุดหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดประสบการณ์ในเส้นทางรถยนต์ที่เชื่อมต่อระหว่างประตูของประเทศ ต่าง ๆ ในอาเซียนแล้ว เรื่องราว และวิถีชีวิตของประชากรกว่า 600 ล้านคน ในภูมิภาคนี้ได้ ถูกถ่ายทอดและเชื่อมต่อด้วยสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่น จากเส้นเลือกสายหลักที่ไหลผ่าน จากจีน เมียนมา ลาว ไทย เวียดนาม และกัมพูชา กับเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงหลากชีวิต…ตลอดสองแนวฝั่งลุ่มน้ำโขง หรือน้ำของและเชื่อมโยงกันเป็นกระแสเส้นเลือดหลัก โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงทั้ง 6 ประเทศ รถมาสด้า ทั้ง 10 คัน ได้ฝากรอยล้อฝังความประทับใจกับประสบการณ์ตลอด 2 เส้นทาง

เรื่องราวความประทับใจของการเดินทางครั้งนี้ถูกถ่ายทอดและเล่าฝากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ผู้รวมคาราวานในเส้นทางต่าง ๆ ช่วงรับส่งไม้ต่อระหว่างเส้นทาง รวมทั้งทีมงานมาสด้า นำทีมโดย “ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์” ผอ.การตลาด และอุทัย เรืองศักดิ์ ผจก.ประชาสัมพันธ์ มาสด้า

เส้นทางสุดท้ายที่ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมขบวนครั้งนี้ หลังรับไม้ต่อจากผู้ร่วมเส้นทางที่ 2 เราออกเดินทางด้วยรถเอสยูวีไซซ์กลาง “ซีเอ็กซ์-5”ขนสัมภาระส่วนตัวใส่ห้องโดยสารด้านหลังเรียบร้อยผู้ร่วมชะตากรรมทั้ง 4 ชีวิตของรถคันนี้

กระโดดขึ้นนั่งประจำตำแหน่ง การเดินทางเริ่มต้นขึ้นเส้นทางจะหลากหลายกับที่เรามีโอกาสร่วมขบวนคาราวาน มาสด้า บีที 50 โปร เมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่สิ่งที่ต่างไปอย่างเห็นได้ชัดคือ สภาพท้องถนน และการจราจรจากตัวเมืองที่คลาคล่ำไปทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์และผู้คนที่เดินทางสัญจรไปมา ชนิดที่ไปได้ทุกทิศทางไร้กฎเกณฑ์ สิ่งสำคัญพึงระลึกการขับในเมียนมานั้น จะวิ่งคนละเลนกับในบ้านเรา ทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่ สัญญาณไฟ และสัญญาณแตร รวมทั้งฟังสัญญาณหวอให้ชัดเจน แต่สุดท้ายความความคล่องตัว ของเจ้าซีเอ็กซ์-5 และขบวนรถยนต์มาสด้าสกายแอคทีฟก็สามารถขับผ่านความวุ่นวายออกมาได้ แบบสบายตัว

ภาพที่ยังคงคุ้นชิน คือ พระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร ยังคงเดินเรียงรายเป็นแถวแนวยาวบ้าง เดินกระจายเป็นย่อม ๆ เพราะที่เมียนมา ถือเป็นประเทศที่ได้รับ เอาพระพุทธศาสนาเข้าเป็นศาสนาประจำชาติและมีความเคร่งครัด

แม้ขบวนคาราวานได้นำพาเราออกมาห่างไกลเขตเมืองหลวงเก่า แต่ภาพของความเป็นเมืองพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีหลักฐานปรากฏให้เราเห็นได้ตลอด 2 ข้างทาง ทั้งวัดและเจดีย์เป็นระยะทั้งใหญ่เล็กเรียงรายตามแรงศรัทธา และความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

การเดินทางในช่วงบ่ายเริ่มใกล้ชายแดนเข้ามาเป็นระยะ วิ่งบนถนนบางส่วน เป็นเลนวิ่งสวน แต่แทนที่จะเป็น 2 เลนปกติเหมือนบ้านเรา ที่นี่ขนาดความกว้างของถนนจะเหลือเพียงเลนครึ่งเกินไปเล็กน้อยไม่เต็ม 2 เลน ทำให้ต้องกะระยะ และเล็งกันให้ดี

ยิ่งจังหวะขับแซงนั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังสูง ถนนถือว่ามีสภาพดีกว่าเมื่อ 2 ปีก่อน อย่างเห็นได้ชัด มีถนนดำเข้ามาแทนที่ทางฝุ่น เยอะพอสมควร โชคดีที่รถซีเอ็กซ์-5 เป็นเอสยูวีที่มีขนาดค่อนข้างสูงทำให้ ทัศนวิสัย หลังพวงมาลัย นั้นมองออกไปได้ค่อนข้างไกลและชัดเจน แถมแรงวิ่งดีแรงไม่ตก

แม้ว่าการทดสอบครั้งนี้จะนั่งในตำแหน่งผู้โดยสารที่เบาะหลัง ค่อนข้างนานกว่าปกติ แต่ช่วงล่างและสภาพถนนฝั่งเมียนมาไม่ได้เป็นอุปสรรค แม้บางช่วงจะเจอทางขรุขระแต่ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด กว่าจะผ่านเส้นทางมาถึงด่านข้ามแดน ได้ตะวันเกือบตกดินพอดี

เมื่อผ่านพิธีการข้ามแดนมาเรียบร้อย ขบวนแวะพักแรมที่ อ.แม่สอด 1 คืน ก่อนที่รุ่งขึ้น จะหวดกันยาว ๆ แม่สอด-กรุงเทพฯ ด้วย เจ้าซีดาน มาสด้า 3 แฮตช์แบ็ก ใหม่ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร165 แรงม้า ที่สั่งการได้ดังใจ จนถึงจุดหมายที่ปลายทาง ที่บอกได้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้กับคาราวานมาสด้าดีเอ็นเอ สกายแอคทีฟนี้ ให้เราพิสูจน์สมรรถนะทั้งรถทั้งคนได้มีครบทุกรสจริง ๆ