ONE MAN ONE ENGINE “เอเอ็มจี” สะท้อนความเป็นตัวตน

ONE MAN ONE ENGINE หรือ “หนึ่งเครื่องยนต์ หนึ่งผู้ประกอบ” เป็นอะไรที่มากกว่า การเป็นคำที่สวยหรู สะท้อนสโลแกนของแบรนด์ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เท่านั้น

แต่ยังถือเป็นคำที่สะท้อนลงลึกถึงภาพลักษณ์ และจุดเริ่มต้นของความเป็นแบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ได้เป็นอย่างดี

วันนี้ “โรลันด์ โฟล์เกอร์” ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพความชัดเจนของแบรนด์ “เอเอ็มจี” ให้กระจ่างขึ้น

จากจุดเริ่มต้น…ในสนามแข่ง ด้วยความรักความหลงใหลในกีฬามอเตอร์สปอร์ต ของชาย 2 คนเมื่อปี 1967 ในโรงโม่แป้งเก่า ได้ก่อเกิดแบรนด์ “เอเอ็มจี” AMG โดย ฮานส์ แวเนอร์ อาวฟเรชท์ (Hans-Werner Aufrecht) และแอร์ฮาร์ด เมลเชอร์ (Erhard Melcher) จากหมู่บ้านโกรซาชปาค (GroBaspach) ห่างจากชตุทท์การ์ทออกไป 60 กม.

ทั้ง 2 คนได้โมดิฟายรถแข่งเมื่อปี 1967 จนสามารถคว้าชัยชนะได้ และในรายการใหญ่ของเยอรมนี จนทำให้เป็นที่รู้จัก และที่สำคัญรถที่ทั้ง 2 คนเลือกโมดิฟาย ต้องเป็นรถของเมอร์เซเดส-เบนซ์เท่านั้น

ก่อนที่ในปีถัดมา จะเกิดความร่วมมือระหว่างเอเอ็มจี-เดมเลอร์ โดยเอเอ็มจีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเดมเลอร์ และมีการพัฒนาจุดแข็ง การวิจัยและพัฒนารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี บวกกับการพัฒนาช่องทางการตลาดทำให้แบรนด์ “เอเอ็มจี” มีความแข็งแกร่งและแข็งแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ

ซึ่ง “โรลันด์” ย้ำให้เห็นถึงจุดแข็งของแบรนด์เอเอ็มจีว่า การที่ผลิตรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในแต่ละรุ่นจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้า 6-7 ปี

และเคล็ดลับของเอเอ็มจี คือ การเข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการพัฒนารถยนต์รุ่นนั้นจากเมเซอร์เดส-เบนซ์

จุดแข็งของเรา คือ รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุก ๆ รุ่น จะมีแบรนด์เอเอ็มจีเข้าไปเติมเต็ม ซึ่งต่างจากผู้ผลิตรายอื่น

“ความโชคดีคือเราอยู่ในกระบวนการ R&D ตั้งแต่แรก ๆ ทำให้ข้อดี คือเรามีต้นทุนการทำงานง่ายขึ้น รถเอเอ็มจีถูกวางแผนไว้ตั้งแต่สเต็ปแรกของการพัฒนารถยนต์ในแต่ละรุ่น นั่นจึงทำให้เรามีความแข็งแรงกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ซึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นจากยอดขายเอเอ็มจี เกือบ 2 แสนคันทั่วโลกในปีที่ผ่านมา จากยอดขายเมอร์เซเดส-เบนซ์กว่า 3 ล้านคัน”

ไม่ใช่แค่ยอดขายที่จะประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่แบรนด์เอเอ็มจียังช่วยเข้ามาเติมสีสัน เพิ่มความสนุกสนาน ทำให้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ดูเด็กลง มีความเป็นคนรุ่นใหม่ และสปอร์ตตี้มากขึ้น

“โรลันด์” ย้ำว่า ความภูมิใจของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย คือ วันนี้สามารถทำให้แบรนด์เอเอ็มจีมีการเติบโตขึ้นมาได้ และประเทศไทยยังมีศักยภาพในการผลิตรถยนต์แบรนด์เอเอ็มจีได้ด้วย

มุ่งดูแลลูกค้าทุกพื้นที่

แน่นอนว่าลูกค้าที่ตัดสินใจเลือกซื้อรถระดับเพอร์ฟอร์แมนซ์ไป เขาจะต้องได้ “ความสบายใจ” ด้วย เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่า มีหลายยี่ห้อซื้อหารถระดับเพอร์ฟอร์แมนซ์คาร์ไปใช้ แต่ส่วนของงานบริการหลังการขาย การดูแลอาจจะยังไม่ทั่วถึงครอบคลุม

แต่สำหรับเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีนั้น ปัจจุบันเรามีดีลเลอร์ 14 ราย ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายและดูแลรถยนต์เอเอ็มจี โดยเฉพาะจากตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ 33 รายทั่วประเทศ ซึ่งเราเชื่อว่าการมีตัวแทนจำหน่าย 14 รายนี้ น่าจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้ “เอเอ็มจี” ได้ง่ายขึ้น ในเมื่อเรานำเสนอสินค้าเพอร์ฟอร์แมนซ์ได้ครอบคลุมถึง 19 รุ่น
ดีลเลอร์เราเองก็สามารถดูแลได้อย่างครบถ้วนด้วย

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในการตัดสินใจ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้อง “คุยกับดีลเลอร์ว่ารายใดมีความพร้อมที่จะลงทุนสำหรับเอเอ็มจี ซึ่งจะต้องเป็นการลงทุนเพื่อให้ได้ตามมาตรฐาน ที่สำคัญ ดีลเลอร์พร้อมหรือไม่ที่จะก้าวเข้ามาหาลูกค้าอีกกลุ่ม

เมื่อลูกค้าเดินเข้าโชว์รูมแล้ว จะต้องพบว่า…พื้นที่ส่วนนี้ คือ “เอเอ็มจี” และนี่คือเหตุผล ที่เราเลือกทำงานกับดีลเลอร์แต่ละราย สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่คำว่า “ลูกค้า คือหัวใจ” เมื่อถูกถามถึงความเพียงพอของตัวเลขดีลเลอร์เอเอ็มจี 14 แห่ง

ถือว่าเพียงพอหรือไม่นั้น…

นายใหญ่ให้คำตอบว่า ความทั่วถึงของการดูแลในปัจจุบันนี้ ในกรุงเทพฯ 3-4 แห่งนั้นเพียงพอ ส่วนต่างจังหวัดเองก็จะต้องมีการกระจายให้ครอบคลุมพื้นที่บริการมากที่สุด ลูกค้าต้องสบายใจในการขับรถว่ามีคนดูแลทั่วถึง เพราะรถเอเอ็มจีมีความละเอียดอ่อนทั้งเครื่องยนต์ เทคโนโลยี คนจะดูแลต้องผ่านมาตรฐานของเรา เพื่อดูแลได้ทั่วประเทศ มีความพิเศษและรายละเอียดที่มากกว่า

ปลื้มแบรนด์เอเอ็มจีโต 200%

ที่ผ่านมาหากพูดในแง่ของประสิทธิภาพแล้ว ปีที่ผ่านมาเอเอ็มจีเราเติบโตถึง 300% ส่วนปีนี้ผ่านมาแล้ว 6 เดือน เราโตกว่า 204% ปัจจัยหลักที่เป็นผลพวงสำคัญ คือ การขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์ “เอเอ็มจี” ในโรงงานของประเทศไทย ทำให้รถของเรามีราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น เป็นราคาที่ย่อมเยาขึ้น และแน่นอนเมื่อเรามียอดขายเพิ่มขึ้น เราเองก็สามารถเจรจากับบริษัทแม่เพื่อที่หางบประมาณมาเพื่อให้ทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จริง ๆ แล้ว เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี น่าจะมียอดขายอยู่ราว 1,000 คัน จากตลาดรวมของรถเพอร์ฟอร์แมนซ์ ไม่เกิน 2,000 คันต่อปี นั่นหมายความว่า “เอเอ็มจี”น่าจะมีส่วนแบ่ง 50%

จัดแถวโปรดักต์ใหม่ถล่มตลาด

แน่นอนว่าเราเตรียมรถยนต์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี ที่จะเข้าแถวรอเปิดตัวให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสอีก 5 รุ่น จากต้นปีที่ผ่านมาได้เปิดตัวไปแล้วถึง 8 รุ่น เรามีโปรดักต์เยอะ ทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า มีให้เลือกตั้งแต่ประเภทรถ รวมทั้งเครื่องยนต์ 43, 53 และ 63 เรียกว่า “วาไรตี้” เราเป็นรายเดียวที่สามารถตอบโจทย์ได้ครบถ้วน

และหลากหลายมากที่สุด ลูกค้าได้มากที่สุดอย่างรุ่น 43 และ 53 คือรุ่นที่ผลิตในประเทศ เพื่อให้ราคาเป็นทางเลือกของลูกค้าที่อยากได้เพอร์พอร์แมนซ์ จับต้องได้ ส่วนรุ่นที่ไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์ขึ้นไปอีกอย่าง 63 นั้น เราก็มีให้ลูกค้าเลือก แต่เป็นรุ่นนำเข้า

รับพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน

เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี มีรถทุกรุ่น ยกเว้น บี-คลาส รถเอเอ็มจีมาจากจุดเริ่มต้นที่ความต้องการของลูกค้า วันนี้เราพบว่าพฤติกรรมลูกค้า อัตลักษณ์ความเป็นตัวตนของลูกค้า สำคัญมากสำหรับเมืองไทยเราพบว่าลูกค้าในระดับโลก อายุที่เด็กลงลูกค้าเด็กลง 5-6 ปี ส่วนหนึ่งมาจากเอเอ็มจี และรถในกลุ่มเอ-คลาส อย่างในเอเชีย จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นเจ้าของกิจการขายมากขึ้น

ชูประสบการณ์ลูกค้า

เนื่องจากลูกค้าอายุลดลงมาก ดังนั้นเราต้องเทรนคนที่จะขายรถพวกนี้ให้กับลูกค้า ต้องมีความรู้จริง ๆ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องมีโชว์รูมและศูนย์บริการเฉพาะของเอเอ็มจี บางคนใช้งานธรรมดา


แต่ต้องการความแตกต่าง บางคนเอารถไปใช้วิ่งในสนามแข่งทุกสุดสัปดาห์ บางคนเอาใช้วิ่งวันหยุดไปต่างจังหวัด เราต้องเตรียมคนเพื่อให้ตอบโจทย์รองรับ