ลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ พัฒนาจากสนามแข่งสู่ถนนหลวง

คอลัมน์เวทีรถใหม่

เปิดตัวพร้อมราคา 29.990 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับรถคันล่าสุดจากค่ายกระทิงดุ

ซึ่ง เรนาสโซ มอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย มีให้ลูกค้าได้ชื่นชอบเป็นเจ้าของ

สำหรับ ลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ ออกแบบและพัฒนามาเพื่อรูปแบบที่เหมาะสำหรับการใช้งานบนถนน

แต่เป็น DNA ที่ถ่ายทอดจากสนามแข่งสู่ท้องถนน ทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงความเร้าใจตามแบบฉบับของรถแข่ง

ไอคอนแห่งความแรงตัวล่าสุดของแบรนด์ลัมโบร์กินี คันนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่งลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ

แชมป์ 3 ปีซ้อนจากรายการแข่งขัน 24 Hours of DAYTONA การแข่งขันที่ยากและโหดที่สุดในโลก

เครื่องยนต์ V10 แบบ NA ที่มอบพละกำลังสูง 640 แรงม้า และแรงบิด 565 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปที่ล้อคู่หลัง ทำให้รถคันนี้

สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลาเพียง 3.0 วินาที และจาก 0-200 กม./ชม.ในเวลาเพียง 9.0 วินาที

ทุกรายละเอียดของลัมโบร์กินี ฮูราคาน เอสทีโอ ได้รับแรงบันดาลใจจากมอเตอร์สปอร์ต อาทิ “Cofango” หรือการนำฝากระโปรงหน้า ซุ้มล้อ และกันชนหน้าของตัวรถมาดีไซน์ใหม่ให้เป็นชิ้นเดียวกัน

นอกจากช่วยลดน้ำหนักของตัวรถแล้ว ยังช่วยเพิ่มความเป็นมอเตอร์สปอร์ตของตัวรถได้อย่างลงตัว

ช่องดักอากาศบริเวณฝากระโปรงหน้าช่วยจัดระเบียบให้อากาศไหลเวียนผ่านตัวรถได้ดียิ่งขึ้น

ซุ้มล้อหลังพร้อมช่องดักอากาศ NACA ช่วยให้ตัวรถลู่ลม ยังสร้างแรงกดด้านท้ายของตัวรถ

ส่งผลให้สมรรถนะของตัวรถทั้งทางตรงและทางโค้งมีประสิทธิภาพสูงเหมือนกับรถแข่งในสนาม

ครีบอากาศที่ฝากระโปรงหลังนั้นช่วยเพิ่มความคล่องตัวในขณะเข้าโค้ง

ส่วนช่องดักอากาศเบรกหน้าใหม่ ระบายความร้อนให้กับระบบเบรกแบบใหม่ CCM-R brakes ที่ถูกพัฒนาจากรถ F1

ยังมีการติดตั้งโหมดการขับขี่ใหม่ 3 โหมดได้แก่ โหมด STO ถูกปรับตั้งให้เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวันทั่วไป

โหมด Trofeo ตัวรถจะถูกตั้งค่าให้ตอบสนองกับการขับขี่บนสนามแข่งในพื้นผิวที่แห้ง

โหมดการขับขี่ Pioggia นั้น ตัวรถคอยควบคุมให้ระบบป้องกันการลื่นไถล ระบบกระจายแรงบิด ระบบเลี้ยวล้อหลัง และระบบเบรก ABS ให้เหมาะสมกับพื้นผิวถนนที่เปียก

ภายในของห้องโดยสาร ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ด้วยการนำเอาวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้บริเวณแผงประตูภายใน

เบาะแบบสปอร์ตพร้อมแผ่นหลังจากวัสดุคาร์บอน และนำเอาวัสดุอัลคันทาร่า
มาใช้เพื่อให้สัมผัสที่กระชับมือยิ่งขึ้น