คอลัมน์ เทสต์คาร์ โดย วุฒิณี ทับทอง
- มอเตอร์โชว์ 2024 เริ่มแล้ว
- คำแนะนำจาก ซีอีโอ “ฮั่วเซ่งเฮง” ยุคทอง (โคตร) แพง ต้องลงทุนอย่างไร ?
- บัตรเครดิตซิตี้ ย้ายไป UOB บัตรประเภทไหน เปลี่ยนแปลงอย่างไร
เชื่อว่าใครที่ได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถยนต์ “มินิ” หลายคนจะติดใจเพราะความสนุก ควบคุมได้ง่าย ด้วยพลังของเครื่องยนต์ที่พร้อมตอบสนอง
วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้นำเจ้า มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน รถยนต์ในตระกูล “มินิ” ที่มีขนาดของตัวถัง “ใหญ่” ที่สุดมาทดสอบกันหลังจากสัมผัสรถคันนี้ครั้งแรก บนแทร็กแก่งกระจานในฐานะผู้โดยสารมินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน คันนี้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งได้รับการพัฒนาออกแบบใหม่ เน้นดีไซน์ของรูปร่างที่ “ยืด” และ “ใหญ่” ในทุกมิติ พัฒนาจากรถยนต์ขนาดเล็ก ขยับขึ้นมาสู่ความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์พรีเมี่ยมคอมแพ็กต์แบบ sport activity vehicle ช่วยให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นแต่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นรถมินิเอาไว้ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการดีไซน์ในองค์รวมความโดดเด่นของไฟหน้าทรงกลม และอารมณ์ go-kart feeling ยังคงไว้ได้ชัดเจน
ที่กระจังหน้า โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ตัว S สีแดงติดอยู่เสริมความเท่ด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบ star spoke 18 นิ้ว ในสีเงินและสีดำ
ภายในห้องโดยสารคงกลิ่นอายความคลาสสิกและความทันสมัยถูกอัดแน่นเต็มคัน โดยเฉพาะหน้าปัด บริเวณคอนโซลหน้า ทรงกลมหน้าจอสีขนาด 8.8 นิ้ว แสดงข้อมูลการขับขี่ เป็นจอควบคุมความบันเทิง ข้อมูลของตัวรถ รวมทั้งโทรศัพท์ด้วย
โดยบริเวณเส้นรอบวง สามารถเปลี่ยนสีสัน เป็นไฟสีต่าง ๆ รอบวงแหวนตามสถานะ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนถนน หรือการทำงานของฟังก์ชั่นต่าง ๆ ตามความพึงพอใจของผู้ขับขี่ กับฟีเจอร์พิเศษ MINI Excitement Package ที่สามารถปรับเปลี่ยนสีได้
มินิยังเพิ่มลูกเล่นด้วยการฉายไฟเป็นโลโก้ MINI ลงมาบนพื้นถนนฝั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าเมื่อเราทำการปลดล็อกรถยนต์ประหนึ่งเป็นข้อความเพื่อต้อนรับเข้าไปในรถคันนี้
ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ อัดแน่น ที่ชอบอีกอย่าง คือ ปุ่มเปิด-ปิด ระบบขับเคลื่อนระบบออโตสตาร์ต ทั้งโหมด sport และ green ปุ่มสตาร์ตและดับเครื่องยนต์เป็น สวิตช์แบบดันขึ้นดันลงให้ความเป็นเรโทรเล็ก ๆ
ฝากระโปรงท้ายออกแบบให้เป็น “ประตูบานพับ” ทั้ง 2 ข้าง แบบตู้กับข้าว ใช้วัสดุโลหะที่โดดเด่นสะดุดตา มีเสากลางระหว่างบานกระจกซ้าย-ขวามีขนาดเล็กลงกว่าในรุ่นก่อนหน้า
แต่โดยส่วนตัวแล้วถือว่าบดบังทัศนวิสัยเวลามองกระจกหลังอยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับรถและจังหวะการใช้กระจกมองหลัง
มินิยังเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ขับด้วยระบบเปิดประตูฝากระโปรงท้าย ด้วยการใช้มือเปิดจากปุ่มที่มือจับฝากระโปรงทั้งสองข้างแล้ว สามารถเปิดได้โดยไม่ต้องสัมผัสตัวรถด้วยการใช้เท้าไปจ่อที่บริเวณใต้กันชนท้าย ฝากระโปรงท้ายก็จะเปิดโดยอัตโนมัติทีละข้างเรียกว่า อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานจริง ๆ แต่หมายความว่าผู้ที่สั่งการเปิดบานประตูได้จะต้องมีกุญแจรีโมตอยู่กับตัวด้วย
มาถึงเรื่องความจัดจ้านของเครื่องยนต์นั้นตอบสนองและกระชากเอาความสนุกในแบบฉบับการขับโกคาร์ตออกมาได้
ชนิดที่ว่าปลุกความรู้สึกเสมือนดึงเอาอารมณ์ที่เราเพิ่งเริ่มขับรถยนต์ได้ใหม่ ๆ
อะดรีนาลินพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยความสนุก ตื่นเต้น ทุกครั้งที่อยู่หลังพวงมาลัย และพร้อมทะยานไป เครื่องยนต์ใหม่ TwinPower Turbo ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่และการตอบสนองที่ดีขึ้น เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 192 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptonic ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ได้ไว ไร้รอยต่อเพียงแค่เลือกโหมดขับขี่ไปที่โหมด green ก็เหลือเฟือทั้งอัตราเร่ง ความคล่องตัว และกำลังของเครื่องยนต์ที่ได้มาทั้งความประหยัด
แต่เมื่อลองเปลี่ยนโหมดไปที่ sport นั้น บอกเลยว่า “เด็ดดวง”
ที่เซอร์ไพรส์ ลบภาพเดิม ๆ ของระบบช่วงล่างของรถตระกูลมินิลงไปสิ้น คือความกระด้าง ความดิบ ความสั่นสะเทือนของช่วงล่างหายไปสิ้น มินิได้นำระบบไดนามิกแดมเปอร์คอนโทรล (dynamic damper control) ที่ช่วยปรับความนุ่มนวลของโช้กอัพอัตโนมัติ
สามารถปรับเลือกการตั้งค่าที่เหมาะสมตามความชอบและสไตล์การขับขี่ เลือกได้อยากได้แนวไหนจะสปอร์ตหรือนุ่มนวล มีให้เลือกได้ด้วยขนาดของตัวรถ ที่ด้านหน้าสั้น ท้ายตัด บวกกับแอโรไดนามิก
พวงมาลัยที่จับกระชับมือ ให้น้ำหนักมาค่อนข้างดี สั่งการได้แม่นยำทำให้ขับรถคันนี้ไปด้วยความมั่นใจ จังหวะเข้า-ออกโค้ง ทำได้คล่องตัว ในทุกจังหวะด้วยราคาค่าตัว 3.068 ล้านบาทถือว่ารถมินิยิ่งขับ ยิ่งสนุก