คอลัมน์ เทสต์ คาร์ โดย วุฒิณี ทับทอง
หลังจากเปิดตัวอวดโฉมในบ้านเราตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนจนมาเปิดราคาอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมารถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เคลมว่าขายดีที่สุดในโลกอย่าง “นิสสัน ลีฟ” ได้ถูกนำมาให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัส จนกลายเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
ล่าสุดเพื่อกระตุ้นตลาด จุดกระแสของรถยนต์ไฟฟ้าลีฟ ให้เกิดต่อเนื่องในฐานะผู้นำรถยนต์ไฟฟ้า นิสสัน ไทยแลนด์ไม่รอช้า ทุ่มงบประมาณเพื่อจัดอีเวนต์ใหญ่ให้สื่อมวลชนและลูกค้า ผู้สนใจรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ได้มีโอกาสสัมผัสและทดสอบ ณ จีแลนด์ ย่านพระราม 9
“เบญจวรรณ ซื่อสัตย์” ผู้จัดการฝ่ายบริการผลิตภัณฑ์ ให้ข้อมูลว่า นิสสัน ลีฟมียอดขายสะสมไปแล้วกว่า 410,000 คัน จาก 53 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2553 ที่แนะนำนิสสัน ลีฟออกสู่ตลาด ซึ่งรถคันนี้ยังไม่มีการเคลมเรื่องตัวผลิตภัณฑ์ แบตเตอรี่ หรือมอเตอร์ไฟฟ้าออกมาให้เห็นเลยแม้เเต่ครั้งเดียว
ขณะที่นิสสัน ลีฟ เจเนอเรชั่นที่ 2 ขายไปแล้วทั่วโลกกว่า 100,000 คันบ้านเรานั้นขายใกล้แตะหลัก 100 คันโดยใช้เวลา 3 เดือน ตั้งแต่เปิดตัวจนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับสิทธิและแต่งตั้งให้ขายรถคันนี้ได้ 32 แห่งทั่วประเทศ
ส่วนใครที่กำลังกังวลใจว่า รถคันนี้จะวิ่งไปได้ไกลแค่ไหน ?ทีมงานนิสสันแจ้งว่า ชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง เต็ม 100% วิ่งได้ 311 กิโลเมตร
และถ้ายังกังวลว่าจะกลายเป็นความยุ่งยากในการชาร์จพลังงาน นิสสัน ลีฟ ระบุว่า หากชาร์จไฟบ้านด้วยสายชาร์จที่มีมาให้ใช้เวลา 12 ชม. เต็ม 100%
ส่วนชุดชาร์จที่เป็นแบบวอลบอกซ์ ให้กำลังไฟแรงขึ้นเท่าตัว ใช้เวลา 6 ชม.เต็ม 100% แต่หากไปชาร์จในสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่มีควิกชาร์จ ใช้เวลา 40 นาที ได้กระแสไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ 80%
แน่นอน “ประชาชาติธุรกิจ” ไม่พลาดที่จะร่วมกิจกรรมดังกล่าว
นิสสัน ลีฟ เจเนอเรชั่น 2 คันนี้ ได้รับการออกแบบใหม่ให้ความทันสมัยมากขึ้นด้วยกระจังหน้าอันเป็นเอกลักษณ์แบบ V-Motion ไฟทรงบูมเมอแรงการออกแบบแนวเส้นหลังคาที่แสดงให้เห็นเป็นเอกลักษณ์ของนิสสัน
เรียกว่าหน้าตาของรถคันนี้เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นแรก มีความทันสมัยโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
นิสสันเลือกใช้ลายตาข่ายสีน้ำเงินสว่างแบบสามมิติมาเสริมบริเวณกระจังหน้า เพิ่มความเป็นอัตลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้า ไฟหน้า โปรเจ็กเตอร์แบบคู่
เข้ามาดูภายในห้องโดยสาร มีกลิ่นอายของความล้ำสมัยด้วยการให้แสงและจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในค่อนข้างกว้างขวาง เน้นความหรู เรียบง่าย
ส่วนเบาะ พวงมาลัย เดินตะเข็บสีฟ้า สะท้อนความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่นั่งสามารถพับเบาะหลัง สำหรับผู้ต้องการเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้ได้เวลาทดสอบในช่วงแรก ทีมงานเซตสนามทดสอบให้เป็นแทร็ก “จิมคาน่า” เพื่อให้ทดสอบอัตราเร่ง แรงบิด ความคล่องตัวของนิสสัน ลีฟคันนี้
เรียกได้ว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ รูปแบบการขับขี่ คือ ปล่อยตัวรถ 2 คัน วิ่งสวนทางกันเพื่อจับเวลา
หากใครหลายคนที่นึกภาพไม่ออกว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะไปแรงได้แค่ไหน? ตามมาเลยครับ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ตัดปัญหาเรื่องการรอรอบแบบรถที่ใช้เครื่องยนต์ อัตราเร่งจึงกดปุ๊บมาปั๊บ รวดเร็วทันใจ แถมจังหวะของการขับสลาลอมเข้าโค้งบังคับรถ หลบหลีก “โครน” ที่ทีมงานเซตไว้ บอกได้เลยว่าทั้งคล่องตัว “แรง” และ “สนุก”
ช่วงบ่ายทีมงานเซตเส้นทางเพื่อให้เราได้ทดสอบบนสภาพการจราจรที่แท้จริง ให้กลับไปยัง 5 หมุดหมาย ทั้งใจกลางเมือง วิ่งลัดเลาะออกไปยังย่านชานเมืองฝั่งนครปฐม
แต่รถนิสสัน ลีฟคันที่เราทดสอบนั้น เราตกลงว่าเราจะวิ่งไปในเส้นทางการใช้งานปกติของชีวิตประจำวันแบบคนเมืองกรุง เพื่อดูสภาพการใช้งานจริง…
ตัดสินใจเลือกเส้นทางทดสอบจากย่านพระราม 9 มุ่งหน้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิต เหลือบมองหน้าปัดแสดงผลพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่มีอยู่ 98% สามารถวิ่งได้ระยะทาง 297 กม.ไปสวย ๆ
และเพื่อความสบายใจในช่วงแรก ขอเลือกใช้โหมดขับขี่แบบปกติ เข้าเกียร์ D รถวิ่งปกติบนสภาพการจราจรช่วงบ่าย ๆ ที่รถรายังไม่หนาแน่นมาก มาได้เรื่อย ๆ พร้อมลองใช้งาน e-Pedal ซึ่งเป็นแป้น คันเร่ง และเบรก ช่วยให้รถจะชะลอความเร็วลงอย่างรวดเร็ว จนถึงหยุดสนิทโดยไม่ต้องแตะเบรก
ซึ่งใช้เวลาทำความคุ้นเคยเล็กน้อย ถือเป็นระบบที่น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับได้พอสมควร
ลองกดคันเร่งนั้น อัตราเร่งของรถคันนี้ตอบสนองได้ยอดเยี่ยมด้วยกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดระดับ 320 นิวตัน-เมตร จากมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า
เรียกว่ากดเรียกความเร็วพร้อมตอบสนองทันทีด้วยการออกแบบให้เป็นรถแฮตช์แบ็ก มีความกะทัดรัด คล่องตัวสูง ทำให้การขับขี่ทำได้ไหลลื่น จากนั้นลองเลือกปุ่มเกียร์มาที่ตัว B รู้สึกได้ว่าตัวรถจะมีความหน่วงเพิ่มขึ้น พลังงานไฟฟ้าจะถูกเก็บเข้าไปสะสมในแบตเตอรี่มากขึ้น เพิ่มขึ้นมาประมาณ 30% เรียกว่าขอสะสมพลังงานกันก่อน
จากนั้นเราตั้งใจจะมุ่งหน้าเข้าไปเส้นใจกลางย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เรียกได้ว่าตามเป้าประสงค์ การจราจรคงความหนึบหนับ ต้องตัดสินใจเปลี่ยนโหมดขับขี่มายังโหมด ECO เพื่อใช้พลังงานของรถให้น้อยที่สุด
เราใช้เวลาอยู่บนถนนช่วงนี้ไปนานโข กว่าจะกลับมายัง “จีแลนด์” ได้
การทดสอบครั้งนี้เบ็ดเสร็จเราขับไป 73.6 กิโลเมตร มีปริมาณไฟฟ้าลงมาอยู่ที่ 64% เหลือระยะทางให้วิ่งได้อีก 164 กม. บนสภาพการจราจรที่ใช้งานจริง
ถามว่ารถคันนี้น่าใช้ไหม ?
คำตอบ…หลังจากอยู่กับเจ้านิสสัน ลีฟมาตลอดวันบอกเลยว่า รถคันนี้ให้ทั้งความประหยัดและรักษ์โลก การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ หากเราใช้งานแบบวางแผนการเดินทางในระยะทางไม่เกิน 250-300 กิโลเมตรต่อวันต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง บนพื้นฐานของความสบายใจและไม่ยุ่งยาก ถือว่ารถคันนี้น่าสนใจ
หรือหากจะใช้งานระหว่างวันแล้วมีจุดจอดชาร์จไฟที่ชัดเจน บวกกับเวลาที่เพียงพอ คำตอบรถคันนี้ก็ยังน่าใช้งาน แต่ต้องทำใจเพราะนิสสันทำรถคันนี้เข้ามาขายในบ้านเราเพียงสีเดียว คือ “สีขาว” หลังคาดำ ด้วยเหตุผลทางการตลาดและการทำราคา
ส่วนอนาคตจะมีลีฟสีอื่น ๆ เข้ามาให้ลูกค้าชาวไทยได้เลือกช็อปหรือไม่ ต้องรอดูด้วยราคาจำหน่ายที่ 1.99 ล้านบาท
หลายคนเริ่มคิดหนัก…บวกกับระยะเวลาและข้อจำกัดของการใช้งาน
นอกจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของนิสสัน ลีฟ คือ กลุ่มลูกค้าองค์กร หน่วยงานราชการแล้ว กลุ่มลูกค้านิสสัน ลีฟ คือผู้ที่ชื่นชอบ มีความรู้ เข้าใจในเทคโนโลยี และพร้อมที่จะจับจ่ายเพื่อเป็นผู้นำเทรนด์ “แลก” กับราคาที่ต้องจ่าย เทคโนโลยีรักษ์โลกคันนี้
สุดท้าย…ต้องบอกว่า หากคุณพร้อม “ซื้อเลย” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100% คันนี้ไม่ผิดหวัง