โตโยต้า โคโรลล่า ครอส ทางเลือกใหม่ครอสโอเวอร์

คอลัมน์ เทสต์ คาร์ 
วุฒิณี ทับทอง

 

เพิ่มดีกรีความระอุให้กับรถยนต์กลุ่มเอสยูวีบ้านเราให้เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากค่ายรถยนต์พี่ใหญ่อย่างโตโยต้า เลือกประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลก ในการเปิดตัวครอสโอเวอร์อย่าง “โตโยต้า โคโรลล่า ครอส”

สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับใครหลาย ๆ คน แม้ว่ารถรุ่นนี้จะเพิ่งลงโชว์รูมให้ลูกค้าได้สัมผัสไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2563

โดยโตโยต้านำรถ “โคโรลล่า ครอส”ไปโชว์ในงานมอเตอร์โชว์เป็นที่แรก ซึ่งไม่ผิดหวัง เพียงแค่ครึ่งทางของการจัดงานรถคันนี้กวาดยอดจองไปแล้วกว่า 400 คัน สวนกระแสโควิดที่ขวิดอุตสาหกรรมยานยนต์และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแบบไม่ลืมหูลืมตา

ในวันเปิดตัวโตโยต้าเปิดแทร็ก ToyotaDriving Experience Park (TDEX) ที่บางนากม.3 ให้เราได้สัมผัสรถคันนี้แบบเรียกน้ำย่อยเล็ก ๆ รถคันนี้มาพร้อมกับสโลแกน”A new journey?ให้ชีวิตเดินทาง”

ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด “ความกะทัดรัดที่มาพร้อมกับความสะดวกสบาย” (compact yet comfortable) และ “ความล้ำสมัยที่สะท้อนตัวตนของความภูมิฐานสำหรับชีวิตในเมือง” (dignity urban vogue) เพื่อให้รถยนต์คันนี้ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนด้วยการพัฒนามาจากแพลตฟอร์มของโคโรลล่า ซีดาน โดยดึงเอาการนำ DNA ของรถยนต์โคโรลล่ามาพัฒนาให้เกิดเป็นรถยนต์อเนกประสงค์

โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟหน้า LED projector แบบ hybrid daytime running lights LED แบบ light guiding ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED light guiding เสาอากาศแบบครีบฉลาม ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED

หลังคามูนรูฟแบบไฟฟ้า ราวหลังคาสีดำ ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว อัดแน่นด้วยระบบอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานตั้งแต่ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเซ็นเซอร์เปิด-ปิดฝา ท้ายไฟฟ้าแบบ kick activated และกล้องมองภาพรอบทิศทาง พร้อมมุมมองแบบ 3 มิติ (panoramic view monitor)

ภายในห้องโดยสารมี 2 สีให้เลือกคือ สีดำและสีแดงใหม่ terra rossa เบาะหนังและเบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID (multi information display) ขนาด 7 นิ้ว

หน้าจอสัมผัส ขนาด 9 นิ้ว รองรับ apple car play bluetooth และ USB ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ dual zone ปรับอุณหภูมิด้านซ้าย-ขวาอย่างอิสระ พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่ ใส่กระเป๋าเดินทางล้อลากขนาดกลางได้ 4 ใบสบาย ๆ

มีโหมดการขับขี่ถึง 3 โหมด ได้แก่

  • EV MODE ใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า
  • SPORT MODE เพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ และตอบสนองอัตราเร่งได้ดียิ่งขึ้น
  • ECO MODE ช่วยลดการใช้พลังงาน ที่สิ้นเปลือง เพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

เพิ่มความสะดวกสบายไปกับ T-connect by Toyota ที่โตโยต้าตั้งใจเข้ามาดูแลประสานงานในด้านความปลอดภัยต่าง ๆ

มาถึงเรื่องรูปร่างหน้าตา ว่ากันไปตามนานาจิตตัง รสนิยมใครรสนิยมมัน โดยส่วนตัวถือว่าหน้าตาของ “โคโรลล่า ครอส” มีความลงตัวแต่ยังไม่ถึงกับสุด มีกลิ่นอายของเอสยูวีหรูแบรนด์เครือญาติอย่างเลกซัสเข้ามาแต่งแต้มเล็ก ๆ

การทดสอบครั้งนี้ตามสเต็ปของแทร็กแห่งนี้ เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพ โชว์ความคล่องตัว เริ่มตั้งแต่การบังคับและควบคุมรถด้วยความเร็วต่ำ ก่อนเพิ่มระดับในทางตรงวิ่งที่ความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อทดสอบระบบการเตือนเมื่อขับรถออกนอกเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือน และพวงมาลัยจะค่อยดึงให้รถกลับเข้าเลน ซึ่งตรงนี้ช่วยได้เมื่อหากเราต้องขับรถเดินทางไกลแล้วเกิดอาการล้าหรือหลับใน เป็นการทำระบบเข้ามาช่วยเตือนผู้ขับขี่

จากนั้นเข้าสู่สถานีของการขับแบบสลาลอมและเข้าโค้งเพื่อสังเกตการทำงานของพวงมาลัย และช่วงล่างที่โคโรลล่า ครอสออกแบบมาให้สั่งการและควบคุมได้ง่ายนิดเดียว แถมยังแม่นยำตามน้ำหนักมือที่สั่งการ

จังหวะที่หักหลบกรวยนั้นช่วงล่างเอาอยู่ หรือแม้แต่จังหวะที่เรียกความเร็วเข้าสู่สถานีเลนเชนจ์ไว้ใจได้หายห่วง ช่วงล่างเอาอยู่ไม่มีการดิ้นหรือท้ายบานออก

เข้าสู่ช่วงทางตรงยาว อัตราเร่งของรุ่นไฮบริดซึ่งเป็นไฮบริดเจเนอเรชั่น 4 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ ขนาด 1.8 ลิตร ตอบสนองได้ดั่งใจ ช่วงนี้ความเร็วเรียกว่าขึ้นไปแตะ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชู้ตขึ้นมาได้แบบไม่รอกันให้หงุดหงิด

เข้าทางโค้งแบบ 360 องศา เรียกว่าขับเป็นรอบวงกลม ทีมอินทรัคเตอร์แจ้งว่าสถานีนี้ต้องการให้เราดูในเรื่องมุมมอง ทัศนวิสัย การยึดเกาะของช่วงล่าง ซึ่งยังเอาอยู่

ก่อนมาทดสอบความนุ่มนวลด้วยการขึ้นสะพาน พร้อมจำลองสถานการณ์ให้จัมป์เล็ก ขับผ่านเส้นทางขรุขระ การซับแรงกระแทกภายในห้องโดยสาร ทำออกมาได้ค่อนข้างนุ่มนวลเช่นเดียวกับการซับเสียง

การทดสอบในรูปแบบของการขับเพื่อการใช้งานจริงบนเส้นทางถนนจริง จะเป็นอย่างไรโปรดติดตาม แต่สำหรับผู้ที่สนใจแนะนำว่าลองเข้าไปทดลองขับที่โชว์รูมโตโยต้าทุกสาขาทั่วประเทศก่อนตัดสินใจ

เพราะโตโยต้าได้ทำราคาพิเศษสำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเบนซินไว้ที่ 959,000 บาท ก่อนปรับราคาหลัง 30 ก.ย.นี้ ส่วนรุ่นไฮบริดเริ่มต้นที่ 1,019,000-1,199,000 บาท