
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : สมปอง แจ่มเกาะ
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (17-21 มิ.ย.) มีเหตุการณ์ใหญ่ที่คนสนใจและเฝ้าติดตามโดยเฉพาะ 4 คดีทางการเมืองที่ได้ฤกษ์ตัดสินในวันเดียวกัน 18 มิ.ย.
ขออนุญาตสรุปสั้น ๆ เริ่มจาก สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) สั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อศาลอาญา ตามข้อกล่าวหาผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และมาตรา 112 ซึ่งท้ายที่สุดนายทักษิณก็ได้ประกันตัว
ตามต่อด้วย ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้การเลือก สว. เดินหน้าต่อไปได้ตามไทม์ไลน์ ใครจะเป็น 200 สว. (ใหม่) 26 มิ.ย.นี้คงรู้กัน
ส่วนคดียุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้นำพยานเอกสารเพิ่มเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยครั้งต่อไปวันพุธที่ 3 ก.ค.
เช่นเดียวกับ การวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอีกทีพุธที่ 10 ก.ค.ที่จะถึงนี้
หลังทราบข่าว แม้ดัชนีตลาดหุ้นจะโงหัวกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,300 จุด ได้ไม่นาน วันถัดมาก็อ่อนแรงลงไปอีก คราวนี้ไหลร่วงไปต่ำกว่า 1,295 จุด
ดัชนีตลาดหุ้นดังกล่าว ไม่เพียงแต่จะสะท้อนถึงความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจแล้ว อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่มีหลายปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีและคดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งยังไม่รู้เมื่อวันนั้นมาถึงจะออกหัวออกก้อย
นี่คือตัวปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองจะยังคงยืดเยื้อและอึมครึมต่อจนถึงกลางเดือน ก.ค.เป็นอย่างน้อย
เอาเหอะ ใครจะคิดอย่างไรไม่รู้ นาทีนี้ขอก้าวข้ามเรื่องนี้ไปก่อน วกกลับมาเรื่องปากท้องของประชาชนตาดำ ๆ การทำมาหากินของคนทำมาค้าขายกันบ้าง
นี่อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือน มิ.ย. และกำลังจะย่างเข้าเดือน ก.ค. เริ่มต้นไตรมาส 3 แล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นข่าวดีให้ชุ่มชื่นหัวใจบ้างเลย เหลียวหน้าแลหลัง ไปไหนมาไหนก็ได้ยินแต่เสียงบ่นว่าข้าวของเครื่องใช้จิปาถะแพงขึ้นทุกวี่วัน สวนทางกับเงินในกระเป๋า ที่นอกจากจะไม่เพิ่มแล้ว ตรงกันข้ามก็ยิ่งร่อยหรอลงไปทุกวัน
ส่วนผู้ประกอบการร้านค้าต่างก็บ่นว่าค้าขายฝืดเคืองเหลือใจ แถมยังมีข่าวคราวภาพของการทยอยปิดกิจการ เลิกจ้างงานที่มีให้เห็นกันอยู่เนือง ๆ
วันก่อนได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงค้าปลีกท่านหนึ่ง ก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเหตุบ้านการเมือง
ท่านระบายความในใจให้ฟังว่า “…ตอนนี้การทำมาค้าขายอยู่ในเกณฑ์ ‘ซึมลึก’ และเป็นการซึมลึกที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน พ.ค.ปีที่ผ่านมา”
“…ตอนแรกก็คิดว่าหลังเลือกตั้ง (กลาง พ.ค. 2566) สถานการณ์ทางเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ามาก หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมฟื้นตัวช้าก็คือ การไม่มีงบประมาณจากภาครัฐหมุนเวียนเข้ามาในระบบ ทั้ง ๆ ที่งบประมาณรายจ่ายปี 2566 ผ่านสภาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่กระตุ้นและเร่งการเบิกจ่ายเท่าที่ควร”
“หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในเกณฑ์สูง (ณ สิ้นปี 2566 ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 91.3% ต่อจีดีพี) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กำลังซื้อในภาพรวมมีปัญหาและฉุดรั้งการบริโภค ทำให้การจับจ่ายใช้สอยถดถอยลง”
ถามท่านต่อว่า จะทำอย่างไรกันดี ?
ท่านตอบทีเล่นทีจริงว่า “…นาทีนี้ คงต้องพึ่งตัวเองก่อน ซึ่งทางออกตอนนี้เท่าที่เห็นก็มีอยู่ทางเดียว คือ ‘สวดมนต์’ เพราะที่ผ่านมา ทำมาทุกท่า ทำมาทุกอย่างแล้ว”
จึงปลอบใจท่านกลับไปว่า…เดี๋ยวไตรมาส 4 ก็จะมีเงินดิจิทัลวอลเลต 5 แสนล้านบาท หมุนเข้ามาในระบบแล้ว น่าจะช่วยให้ดีขึ้นบ้าง
ท่านส่ายหน้าและบอกว่า “…อย่าไปหวังกับน้ำบ่อหน้าเลย เอาวันนี้ให้รอดก่อน รายใหญ่คงรอด แต่รายเล็กรายน้อยน่าจะหนัก”
เอวัง…ขอให้ทุกคนโชคดีครับ