
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : วรศักดิ์ ประยูรศุข
ประชาชาติจัดสัมมนา “PRACHACHAT ESG FORUM 2024” ในธีม “Time for Action #พลิกวิกฤตโลกเดือด” ที่แกรนด์ฮอลล์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก (เพลินจิต) ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา
ผู้บริหารภาครัฐ และบิ๊กซีอีโอ มาแชร์แนวทางขับเคลื่อนองค์กรและสังคม ในทิศทางของ ESG หรือ Environmental, Social, Governance อันเป็นแนวทางการบริหารงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม, สังคม และการบริหารจัดการด้วยหลักการที่ดี
ผู้มาร่วมในเวทีประชาชาติ มีตั้งแต่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ, วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน, ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท., พิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย, ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), ประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด และ จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท SC GRAND จำกัด กับ ชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน)
ผู้บรรยายแต่ละท่านได้ย้ำว่า ESG กลายเป็นเรื่องที่ทุกองค์กรทุกประเทศต้องลงมือทำ เพื่อแก้สภาวะ “โลกเดือด” จากปัญหาสิ่งแวดล้อม จากสังคม และการบริหารจัดการที่คับแคบ
ในตอนค่ำวันเดียวกัน อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นเวทีในงาน Vision For Thailand 2024 จัดโดยเนชั่นทีวี ที่สยามพารากอน
อดีตนายกฯ ทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 ก.ค. 2567 มีผลตั้งแต่ 18 ส.ค. ขึ้นเวทีแสดงความคิดความเห็นเป็นเวทีแรก หลังจากได้กลับประเทศเมื่อปีที่แล้ว
ตอนหนึ่งผู้ดำเนินรายการถามว่า การเมืองของเมืองไทยเปลี่ยนไปมากหรือไม่ คำตอบจากอดีตนายกฯ คือ เปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่การปฏิวัติประเทศไทยในครั้งที่สอง การร่างรัฐธรรมนูญมีเจตจำนงอย่างชัดเจนเพื่อให้การเมืองอ่อนแอ เพราะกลัวการเมืองแข็งแรงเหมือนสมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่เคยมีประวัติศาสตร์ว่าการเลือกตั้งชนะรอบสอง และได้มาถึง 377 เสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น
อีกทั้งตอนนั้นก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา ทั้งที่ประชาชนเป็นคนเลือกมา ถึงตอนนี้ยังมองว่ารัฐธรรมนูญยังเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งแข็งแรงและสามัคคีกันมากพอสมควร ถึงเวลาที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาธิปไตยกลับคืนสู่คนไทย
อดีตนายกฯ ทักษิณยืนยันว่า คงต้องแก้ รัฐบาลมาจากสภา ต้องไปด้วยสภา เพราะหลักการของประชาธิปไตย 3 เสาหลัก ตอนนี้มีอะไรก็ไม่รู้ และยังมีนักร้องเยอะ ร้องจนสร้างอาชีพอาชีพใหม่
ยังกล่าวถึงเสถียรภาพของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่ามีความมั่นใจ เพราะ สส.ในฝั่งรัฐบาลมี 300 กว่าเสียง ไม่มีอะไรที่เสี่ยง และการที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตั้งใจทำ และทีมงานที่รองรับด้านหลังน่าจะผลักดันได้ดี
และตอบคำถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้ามีโอกาสสูงพรรคเพื่อไทยจะเป็นที่ 1 การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หากหัวหน้าพรรคไม่ลาคลอดไป 10 กว่าวัน คิดว่าไม่แพ้
คำกล่าวในคืนนั้นมีหลายประเด็นหลายแง่มุม สำหรับในเรื่องการเมือง อดีตนายกฯ กล่าวในเชิงเรียกร้องว่า การเมืองไทยเปลี่ยนไป มีการเขียนรัฐธรรมนูญให้การเมืองอ่อนแอ ดังนั้น ทุกพรรคต้องผนึกกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย
คำว่ารัฐบาลมาจากสภา ต้องไปด้วยสภา ความหมายคือ สภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นที่มาของรัฐบาล
ถ้านายกฯ หรือรัฐบาลจะต้องพ้นไป ก็ควรต้องพ้นไปโดยสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้ ไม่ใช่ด้วยกระบวนการอื่น
Vision สำหรับการเมืองไทยคือ กฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตย จะทำให้เกิดการเมืองที่ถือว่าประชาชนเป็นสารสำคัญ คือประชาธิปไตยนั่นเอง
ทั้งสองงาน ทิ้งการบ้านให้ผู้สนใจ สังคม และการบ้านการเมืองได้ขบคิดกันต่อไป