
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : อิศรินทร์ หนูเมือง
เพิ่งได้ไปเดินชายขอบวังบางขุนพรหมเมื่อวันก่อน ช่วงที่มีข่าวรุ่มร้อนระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในวังแห่งนี้
ก้าวข้ามความขัดแย้ง กลับไปอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ “ในวังแก้ว” ของ หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล เล่าเรื่องราวเปลี่ยนแปลงสู่ยุคประชาธิปไตย และชีวิตในวังบางขุนพรหม ไว้น่าสนใจ
ก่อนจะเล่าเรื่อง “บางขุนพรหมยูนิเวอร์ซิตี้” ที่ชุมนุมเหล่านักเรียนก้าวหน้า วังแห่งนี้มีที่มา ตั้งแต่ที่ดิน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เมื่อเดือนพฤษภาคม 2442
ตามข้อความในหนังสือพระราชทานที่ว่า “…บัดนี้ ข้าพเจ้าขอทำหนังสือฉบับนี้เป็นสำคัญ ยกที่ดินซึ่งกล่าวมาแล้วนี้ แลตึกเรือนโรงอันใด ซึ่งเป็นของเก่าที่อยู่ในที่นี้ แลที่จะได้ปลูกสร้างลงในพื้นที่ต่อไปมากน้อยเท่าใดให้เป็นสิทธิ์เป็นทรัพย์แก่ลูกชาย เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนมไหยสุริยสงขลา ตามประสงค์ของข้าพเจ้า เพราะเงินรายนี้ข้าพเจ้ามิได้ใช้เงินสำหรับแผ่นดินที่จับจ่ายราชการ ได้ใช้เงินพระคลังข้างที่ ซึ่งรู้อยู่ด้วยกันโดยมากว่าเป็นเงินสำหรับพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินเอง ไม่เกี่ยวข้องด้วยราชการแผ่นดิน..”
หลังจากนั้น 7 ปี วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาในพิธีขึ้นตำหนักใหญ่วังบางขุนพรหม
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ เป็นพระราชโอรสที่ประสูติแต่ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี สายสกุลบุนนาค และเป็นราชเลขานุการในพระองค์ รัชกาลที่ 5
บางขุนพรหมยูนิเวอร์ซิตี้ เริ่มจาก “สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าฯทรงเห็นว่า พระนัดดาเจริญถึงวัยเรียนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดโรงเรียนประเภทโรงเรียนราษฎร์ แต่ไม่มีทะเบียนขึ้นในวังบางขุนพรหม ครูคนแรกที่เข้ามาจัดการเรียนการสอน เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนสตรีวิทยา ชื่อคุณครูทิม ต่อมาก็ได้ครูจากโรงเรียนนี้มาช่วยสอนจนเลิกเรียน”
หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา เล่าว่า สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าฯทรงวางแผนและควบคุมการศึกษาของพระนัดดาด้วยพระองค์เองโดยตลอด ทั้งภาคภาษาไทยและต่างประเทศ ไม่โปรดที่จะส่งให้ไปเข้าโรงเรียนนอกวัง เพราะทรงเกรงว่าจะไปพบสิ่งที่ไม่ดีไม่งามแล้วจำกลับมา หรือคบคนที่ไม่ควรคบ
ในการเรียนใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด ไม่เคยแปลเป็นไทย และนักเรียนก็ไม่พูดไทยกับครู เรียนวิชาเลข ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และท่องโคลงกลอน หนังสือเรียนทั้งหมดครูสั่งมาจากเมืองนอก ตลอดจนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และรายเดือน
นอกจากภาษาอังกฤษ มีการเรียนภาษาฝรั่งเศส โดยครูสอนมี 4 คน มาจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์, อาจารย์จากมหาวิทยาลัยปารีส, ครูชาวสวีเดน และครูผู้ชายชาวอิตาเลียน
“นักเรียนในวังบางขุนพรหม นอกจากจะเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าฯ และตัวฉันแล้ว ยังมีนักเรียนที่เป็นลูกของเจ้านายบางองค์เข้ามาร่วมเรียนด้วย แต่เป็นเวลาสั้น ๆ เช่น หม่อมเจ้าศริมาบังอร อาภากร และหม่อมราชวงศ์สมจิตร เกษมสันต์ มีองค์หนึ่งที่ร่วมเรียนในระยะที่นานหลายปี คือ หม่อมเจ้าผจงจิตร กฤดากร พระธิดาของกรมพระนเรศวรฤทธิ์ (ต้นราชสกุลกฤดากร) ซึ่งทรงเป็นเจ้าของร้านผ้าโขมพัสตร์อันลือชื่อ” หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญาเล่า
ชื่อเสียงของโรงเรียนในวังบางขุนพรหม เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม ถึงกับมีคำเรียกว่า “บางขุนพรหมยูนิเวอร์ซิตี้”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเรียกตามบ้างจนติดพระโอษฐ์ว่า “พวกยูนิเวอร์ซิตี้” ในที่สุดก็สั้นเข้าจนเหลือแต่ “ยูนิเวอร์ซิตี้” เท่านั้น
เมื่อเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 สมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ เสด็จออกนอกประเทศไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย
วังบางขุนพรหมแปรสภาพจาก วังปัญญาชน และวงมโหรีปี่พาทย์ ที่เคยบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ พระยาโศก และเพลงแขกมอญบางขุนพรหม เงียบเหงาลง
นายนราภิบาล (ศิลป์ เทศะแพทย์) เลขานุการส่วนพระองค์ประจำวังบางขุนพรหม เล่าเหตุการณ์วันนั้นไว้ว่า “วังบางขุนพรหมได้แปรสภาพไปในเวลาชั่วพริบตาเดียว กำลังทหารกองหนึ่งได้ประดังกันเข้ามาควบคุมตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ ที่กองยามทหารรักษาพระองค์ เสียงปืนดังขึ้นไม่ขาดระยะ”
เจ้าฟ้าบริพัตรฯ มีดำรัสกับนายนราภิบาลว่า “ผู้ก่อการ (คณะราษฎร) เขาถามฉันว่า พวกเด็ก ๆ ที่ร่วมก่อการเขาเหนื่อยกัน ฉันจะมีอะไรให้เขาบ้าง ฉันก็เลยประชดไปว่า ฉันมีแต่บ้าน อยากได้ก็เอาไปซิ เขาเลยเอาจริง ๆ”