
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต
เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ กับมาตรการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการป้องกันในเชิงยุทธศาสตร์ต่าง ๆ
ล่าสุดกับการตัดไฟฟ้าแนวชายแดน 5 จุดในเมียนมา ที่ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นศูนย์บัญชาการของแก๊งคอลฯ
ก่อนหน้านี้ประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหา เช่น ออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ พ.ร.ก.ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
ให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ รวมถึงธุรกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล ร่วมรับผิดชอบ หรือเยียวยากรณีเกิดการหลอกลวงให้โอนเงิน
เพราะจากสถิติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) ในความดูแลของ 3 รัฐบาล 3 นายกรัฐมนตรี
ไล่จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, นายเศรษฐา ทวีสิน และปัจจุบัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
ตัวเลขเฉพาะที่หน่วยงานรัฐได้รับการร้องทุกข์มีความเสียหายเฉียด ๆ 8 หมื่นล้านบาท
หากนับรวมพวกยิบย่อย หรือกลุ่มที่อับอายไม่กล้าแจ้งความ
เชื่อว่าความเสียหายคงแตะ ๆ 1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ออกมาเหล่านี้เสมือนแก้ที่ปลายเหตุ
จึงเป็นที่มาของแผนตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต รวมถึงจำกัดการส่งน้ำมันไปเมียนมา
จะว่าไปการเรียกร้องตัดไฟฟ้าเกิดมาพักใหญ่ก่อนรัฐบาลชุดนี้ด้วยซ้ำ และรัฐบาลก่อน ๆ เคยตัดไฟไปแล้ว 2 จุด
จนมาในครั้งล่าสุดตัดเพิ่มอีก 5 จุด
โดยหวังว่าจะจัดการต้นตอของแก๊งคอลฯ
เพียงแต่ความคิดกับความจริงนั้นไม่ได้อยู่ในทางเดียวกันเสมอไป
เพราะพื้นที่เมียนมาบางจุดที่ถูกตัดไฟฟ้า เช่นท่าขี้เหล็ก เปลี่ยนไปซื้อไฟฟ้ามาจาก สปป.ลาว ที่มีนายทุนแดนมังกรเป็นเจ้าของสัมปทาน
ตอนแรกส่งเข้ามาเต็ม ๆ 30 เมกะวัตต์ ก่อนลดเหลือ 13 เมกะวัตต์ในภายหลัง
นอกจากใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาวแล้ว ฝั่งเมียนมาบางส่วนใช้เครื่องปั่นไฟทำงานทั้งวัน ทั้งคืน
จนทางการไทยต้องควบคุมการขายน้ำมันอีกทางหนึ่ง
สิ่งที่เห็นทันทีในช่วง 2-3 วันแรก การใช้ไฟฟ้าในฝั่งเมียนมาทั้ง 5 จุดลดลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่เป็นการลดลงในส่วนของหมู่บ้าน ที่พักอาศัยของพลเมือง ส่วนอาคารสูงที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลฯ หรือบ่อนพนันออนไลน์ยังเปิดไฟอยู่บางส่วน แต่น้อยลงกว่าเดิม
ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย เพราะคงไม่มีใครคาดหวังว่าเพียงตัดไฟฟ้า ลดการส่งน้ำมัน แล้วแก๊งคอลฯ จะหายไปทันทีแบบดีดนิ้ว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามาตรการกดดันนี้คงได้ผลประมาณหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าแก๊งคอลฯ คงไม่ถึงกับเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นเพียงเพราะเหตุนี้
เพราะจะว่าไปการลงมือของแก๊งคอลฯ อุปกรณ์หลัก ๆ มีแค่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊ก เท่านั้น
สำคัญที่สุดคือทักษะของ “คน” ที่ลงมือล่อลวงเหยื่อ
ถ้าจัดการกับ “คน” ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงให้ความรู้ การเตือนซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ เพื่อให้คนไทยรู้เท่าทันมากขึ้น
จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด
แต่เอาเถิด ไม่ว่าการตัดไฟ ลดการส่งออกน้ำมันจะได้ผลมากน้อยขนาดไหน ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
แม้จะเป็นการลงมือแบบ “เผาป่าล่าหนู” ก็ตาม
เพราะประเทศไทยมีทางเลือกไม่มากนัก เนื่องจากถูกบีบจากหลายฝ่ายทั้งภายในและภายนอก
โดยเฉพาะข้อครหาเรื่อง “ไทยเทา” และผลประโยชน์
เพียงแต่เมื่อทำแบบนี้แล้ว ไทยต้องพร้อมยอมรับกับ “ราคาที่ต้องจ่าย”
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการค้าชายแดน ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน การทะลักเข้ามาของผู้อพยพ
รวมถึงข้อกล่าวหาทางมนุษยธรรม
ทางการไทยจึงต้องเตรียมแผนรับมือ เพื่อบรรเทาความเสียหายจากสถานการณ์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน