
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : วรศักดิ์ ประยูรศุข
สถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองของประเทศ และของโลกตึงเครียด เพิ่มดีกรีร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ในระดับนานาชาติ ความร้อนแรงมาจากการเปลี่ยนแปลงผู้นำสหรัฐ มาเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่กำลังนำพาสหรัฐไปในทิศทางใหม่
ส่งผลให้เกิด “สงครามการค้า” ที่ดุเดือด และน่าจะสร้างความสูญเสีย ไม่แพ้สงครามที่รบกันด้วยกำลังอาวุธ
รบใกล้บ้านและยังข้ามโลกมาฟาดกับยักษ์ใหญ่ฝั่งตะวันออก
สงครามการค้าที่เกิดขึ้น ไม่มีใครยอมใคร แต่ทุกประเทศต่างมีแท็กติก กลยุทธ์ในการรับมือ ตามแบบฉบับของตนเอง
ใครมีศักยภาพอย่างไร งัดขึ้นมาใช้เพื่อรักษาสถานการณ์ของประเทศตัวเองให้ไปต่อในโลกให้ได้
สำหรับประเทศไทย ก็ไม่อาจหลุดไปจากความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นได้
ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันกับนานาประเทศ ที่ต้องปรับตัวปรับนโยบายกันอย่างเต็มที่
เป็นงานหนักของรัฐบาลแน่นอน ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ศึกใน หรือการเมืองในประเทศ ก็หนักหน่วงเอาเรื่อง จากหลายมรสุมที่กำลังดาหน้าเข้ามา
ที่ร้อนแรงในพื้นที่สื่อ ก็คือ ญัตติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายค้าน ที่เล็งอภิปรายนายกฯแพทองธาร ชินวัตร เพียงคนเดียว
ก็เกิดปัญหาขึ้น เมื่อ ประธานวันมูหะมัดนอร์ มะทา สั่งให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตติ ตัดชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” บิดาของนายกฯ ออกไป
แต่ฝ่ายค้านยังไม่พอใจกับเหตุผลในการให้ตัดชื่อบิดานายกฯ ตามที่ประธานระบุ
ดังนั้น คงจะต้องงัดกันหน้าดำหน้าแดงต่อไปอีกสักพัก
และน่าสงสัยว่า จะเกิดการอภิปรายในวันที่ 24 มี.ค. ตามที่กำหนดไว้เดิมหรือไม่
เพราะประธานสภาบอกว่า ถ้าไม่ตัดออก จะไม่บรรจุญัตติไม่ไว้วางใจลงในระเบียบวาระ
อีกเรื่องร้อน ๆ คือ ปัญหาการเลือก สว. ที่มีผู้ร้องเรียนว่าเกิดการฮั้วกัน และมีการใช้เงินใช้ทอง
ร้องเรียนต่อ กกต. ที่มีหน้าที่โดยตรง แต่ไม่ปรากฏผลใด ๆ เลยไปร้องกับดีเอสไอ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ
สุดท้าย คณะกรรมการคดีพิเศษตัดสินให้ดีเอสไอ รับคดีในส่วนที่้ดีเอสไอมีอำนาจไปดำเนินการ นั่นคือที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน และความผิดฐานอั้งยี่
ทางกลุ่ม สว. ก็ไม่ยอมอยู่เฉยเหมือนกัน มีการตอบโต้ด้วยการเสนอญัตติอภิปรายวิจารณ์การทำงานของฝ่ายที่เข้ามาตรวจสอบตนเอง
ไปจนถึงเข้ายื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้กำกับดูแลหน่วยงานดีเอสไอ
ก็ต้องถือว่าเรื่องราวได้ลุกลามขยายวง จากการปฏิบัติปกติ กลายเป็น “ความขัดแย้ง” ที่มีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง
อภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นเป็นเรื่องการเมืองอยู่แล้ว ส่วนปัญหา สว.ก็เป็นที่รู้กันว่า เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร
จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่ากระทบต่อการทำงานของรัฐบาลแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเพื่อแก้ปัญหาภายใน หรือการรับมือปัญหาจากภายนอก
ธรรมดาของการเมือง ต้องมีปัญหาและข้อขัดแย้งอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องบริหารจัดการ หรือหาทางแก้ไข
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
บางเรื่องต้องไปแก้ไขกฎหมาย แก้กันไปถึงรัฐธรรมนูญ ปรับเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ ที่พูดกันมามากแล้ว
ซึ่งเมื่อจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะกลายเป็นอีกปัญหาที่ทับซ้อน เป็นปมใหม่ขึ้นมาอีก
สุดท้ายก็ต้องแขวนเอาไว้ก่อน เพราะมีหน้าที่ก็จริง แต่ไม่มีอำนาจเพียงพอ
สภาพการเมืองอย่างนี้ ทำให้ใครก็ตามที่มาเป็นรัฐบาล ต้องอยู่ในความสุ่มเสี่ยง
โดยเฉพาะคือ สุ่มเสี่ยงที่จะต้องตกเป็นรองในสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอก