
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต
ยังปั่นป่วนกันไม่เลิกกับความเคลื่อนไหวของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
เพราะหลังจากไล่ทุบประเทศคู่ค้าทั่วโลก ผ่านการเก็บภาษีพื้นฐาน 10% บวกกับภาษีตอบโต้ทางการค้าอีกจำนวนหนึ่ง
ไทยโดนจุก ๆ จากภาษีตอบโต้สูงถึง 36%
แม้ไม่กี่วันต่อมา ทรัมป์จะเลื่อนการใช้ภาษีตอบโต้ออกไปอีก 90 วัน ยกเว้นเพียงประเทศจีน ที่ซัดกันไปมา จนภาษีแต่ละฝ่ายเกิน 100%
ที่น่าสนใจคือหลังจากทรัมป์ พักยกศึกระหว่างประเทศ กลับก่อศึกในประเทศขึ้นแทน ที่เป็นเรื่องใหญ่และได้รับความสนใจไม่พ้นความพยายาม “เล่นงาน” สถาบันการศึกษาชื่อดังให้ศิโรราบ
ตึงตังสุดไม่พ้น “ฮาร์วาร์ด” มหาวิทยาลัยเก่าแก่และชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐและของโลก
ฮาร์วาร์ด เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2179 หรือ ค.ศ. 1636 นับถึงปีนี้ปาเข้าไป 389 ปี ล่วงมาแล้ว
ฮาร์วาร์ดผลิตศิษย์เก่าชื่อดังออกมามากมายในแทบทุกวงการ เช่น อดีตประธานาธิบดี ถึง 8 คน ที่คนไทยคุ้นชื่อ คุ้นหน้า อาทิ จอห์น เอฟ. เคนเนดี, จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบารัก โอบามา
ทั้งเป็นสถาบันที่สร้าง ผู้พิพากษา แพทย์ชื่อดังต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ อีกเพียบ รวมถึง “บิลล์ เกตส์” ก็เคยเป็นศิษย์เก่าเช่นกัน เพียงแต่ลาออกกลางคันเพื่อเอาดีทางคอมพิวเตอร์
ทรัมป์ อ้างเรื่องนักศึกษาเคลื่อนไหวกรณีสงครามอิสราเอล ก่อนตีขลุมว่ามีนักศึกษาต่อต้านชาวยิว
จึงต้องการส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง เข้ามาควบคุมการเรียนการสอน การรับบุคลากร และนักศึกษา
มหาวิทยาลัยบางแห่งยอมโอนอ่อนตาม แต่ฮาร์วาร์ดแสดงท่าทีคัดค้านรุนแรง
ทรัมป์ จึงขู่ตัดงบฯสนับสนุนมหาวิทยาลัย ทั้งจะเก็บภาษีเงินบริจาค
เรียกว่าศึกนอกยังไม่จบ ก็ขยันสร้างเรื่องภายในประเทศขึ้นอีก
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ช่วงนี้ข่าวใหญ่ยังไม่พ้น “สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน” หรือ สตง.
จากเหตุอาคารถล่มลุกลามกลายเป็นการ “สาวไส้” เรื่องการใช้งบประมาณ
โดยเฉพาะการจัดซื้อ ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ โทรศัพท์บ้าน ของใช้ในห้องน้ำ โคมไฟหรูหรา พรมราคาแพง
เมื่อมีคนนำราคาสั่งซื้อกับราคาขายในท้องตลาดออกมาเทียบกัน พบว่าต่างกันพอสมควร
รวมถึงคำถามตัวโต ๆ ว่า สมควรต้องจับจ่ายเงินภาษีมากขนาดนั้นหรือไม่ ??
อาคารที่สร้าง ของตกแต่ง สิ่งอำนวยความสะดวกหรูหราเบอร์นั้น จำเป็นแก่เหตุและคุ้มค่าหรือไม่ ??
คำถามเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ สตง.น่าจะคุ้นเคยดี เพราะมีบรรดาข้าราชการออกมาเผยข้อมูล ในเวลาที่ถูก สตง.เข้าไปตรวจสอบการใช้งบฯ
มักจะถูกตั้งคำถามทำนองนี้เช่นกัน เรียกว่าเงินบาทเดียว หรือสลึงเดียว แทบไม่มีกระเด็น
อันที่จริง การทำหน้าที่ของ สตง. เป็นสิ่งที่ดี เพื่อดูแลการใช้เงินของรัฐอย่างคุ้มค่า และเหมาะสม
แต่ขณะเดียวกัน การใช้งบประมาณของ สตง. ก็ควรอยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน และต้องตอบคำถามลักษณะเดียวกันนี้ได้ด้วย แต่จนบัดนี้ ยังไม่มีคำตอบที่แท้จริงออกมาจาก สตง. นอกจากการอ้างเรื่องทำทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอน
ไม่รู้ว่าผู้รับเหมา เป็นบริษัทจากจีน ฯลฯ
อืมม…หน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินของรัฐ และมีภาพการทำงานอย่างเข้มงวดมาตลอด กลับมองข้ามเรื่องของตัวเองไปได้ ??
ทั้งกรณีทรัมป์ และ สตง. หากสังเกตให้ดี จักมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน
ทั้งคู่ล้วนมีอำนาจเต็มในมือ สามารถ “ชี้เป็น ชี้ตาย” ให้องค์กรหรือบุคคลอื่น แต่กลับมีหน่วยงาน หรือองค์กรที่คานอำนาจ น้อยถึงน้อยมาก
ด้วยอำนาจในมือที่ล้นเหลือ แถมไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาตรวจสอบ
จนสุดท้ายจึงเกิดเรื่องอย่างที่เห็นและเป็นอยู่