
คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต
เป็นปัญหามาเนิ่นนานนับ 10 ปีแล้ว ศึกระหว่างแท็กซี่และแอปพลิเคชั่นเรียกรถยนต์ โดยเฉพาะยี่ห้อ “แกร็บ” (Grab)
เพราะนับตั้งแต่แอปเรียกบริการรถยนต์เริ่มเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยราว ๆ 10 กว่าปีก่อน ใหม่ ๆ ยังไม่เท่าไหร่
แต่เมื่อได้รับความนิยมจากประชาชน ทำให้แท็กซี่จำนวนหนึ่งไม่พอใจ
ข่าวคราวเรื่องรุมทำร้าย หรือขัดขวางการรับผู้โดยสารมีให้เห็นเป็นระยะ ทั้งในเขตกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยว
ล่าสุดเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก เมื่อแท็กซี่ซึ่งให้บริการบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ก่อม็อบให้รัฐบาลนำรถยนต์ของ Grab ออกจากพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิและพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ
พร้อมขู่ยกระดับการชุมนุมถึงขั้นปิดทางเข้า-ออกสนามบินสุวรรณภูมิ หากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนอง
กลุ่มแท็กซี่อ้างว่าการตั้งจุดบริการของ Grab ทำให้การเรียกใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มีจำนวนมากกว่า
สุดท้ายนอกจากให้ยกเลิกจุดบริการแล้ว ยังต้องการให้ยกเลิกกฎกระทรวง ว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564
กฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับอธิบายง่าย ๆ เปิดโอกาสให้แอปพลิเคชั่นเรียกรถยนต์ เปิดบริการได้ตามกฎหมาย เพียงแต่มีมาตรการควบคุมความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร
หลัก ๆ เช่นผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่สาธารณะ จากเดิมแค่ใบขับขี่ส่วนบุคคลก็ทำได้แล้ว
การลงทะเบียนและตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ขับขี่ ฯลฯ
การให้ยกเลิกกฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับ ไม่ต่างจากกำจัดแอปเรียกรถออกไปนั่นเอง
การเติบโตของแอป หากนับจนถึงปัจจุบันในปี 2568 ประเมินว่าตลาดเรียกรถผ่านแอปมีมูลค่ากว่า 4.5 หมื่นล้านบาท
และจะขยับเป็น 4.9 หมื่นล้านบาทในปี 2572
โดยเฉพาะ Grab ถือว่าเป็นเจ้าตลาด และมีรถหลากเซ็กเมนต์ให้บริการ ตั้งแต่รถราคาปกติไปจนถึงระดับพรีเมี่ยม ที่แต่ละเที่ยวแตะระดับ 2,000-2,500 บาท
จะว่าไปใครที่เคยใช้บริการเรียกรถผ่านแอป จักพบว่าราคาไม่ได้ถูกกว่าการโบกแท็กซี่ บางเส้นทาง หรือช่วงเวลาเร่งด่วน แพงกว่าด้วยซ้ำ
เพียงแต่ข้อดีของการเรียกรถผ่านแอป คือรู้ราคาที่แน่นอน และน้อยครั้งที่จะถูกปฏิเสธ
การปฏิเสธผู้โดยสาร หรือคิดราคาเหมาแทนการเปิดมิเตอร์ เชื่อว่าคนใช้บริการแท็กซี่ทุกคน ต้องเคยมีประสบการณ์มาบ้างไม่มากก็น้อย
“ต้องรีบไปส่งกะรถ” หรือ “ต้องไปเติมแก๊ส”
คำปฏิเสธยอดฮิตของแท็กซี่ (บางคัน) ที่ผู้โดยสารได้ยินจนชินหู และนำมาล้อเลียนแบบเจ็บใจเล็ก ๆ อยู่แทบทุกครั้งที่เกิดกรณีพิพาท
ยิ่งกับชาวต่างชาติตามสนามบิน หรือจังหวัดท่องเที่ยว โดนเอาเปรียบแบบนี้จนชินตา
คนไทยเองก็ไม่รอดเช่นกัน โดยเฉพาะชาวต่างจังหวัดที่มาใช้บริการตามสถานีขนส่ง หรือสถานีรถไฟ
ก่อนหน้านี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากบ่น หรือร้องเรียนไปทางขนส่ง ได้ผลบ้าง ไม่ได้บ้าง
จึงเมื่อมีแอป คนที่หงุดหงิดกับบริการของแท็กซี่จำนวนหนึ่งจึงเลือกใช้ แม้ต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม
การเติบโตของแอปเรียกรถ ในช่วงแค่ 10 กว่าปีที่ผ่านมา จึงสะท้อนภาพลักษณ์การบริการแท็กซี่ไทยได้ส่วนหนึ่ง
ฉะนั้นก่อนการเรียกร้องขอความเป็นธรรม กลุ่มแท็กซี่ควรรวมตัวกันกวาดบ้านตัวเอง กำจัดคนขับพฤติกรรมไม่เหมาะสมออกไปอย่างจริงจังเสียก่อน
หากทำได้ดีจริง ไม่เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ใครเล่าจักไม่อยากเลือกใช้บริการ
ถึงที่สุดแล้วการใช้บริการเป็นไปตามความพึงพอใจของผู้โดยสาร หรือลูกค้า ที่เป็นคนควักเงินจ่าย
การก่อม็อบเพื่อบีบให้ลูกค้าต้องใช้บริการอย่างไม่มีทางเลือก เป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือ ?