‘แพทองธาร’ เผชิญมรสุม

แพทองธาร ชินวัตร
คอลัมน์​ : สามัญสำนึก 
ผู้เขียน : วรศักดิ์ ประยูรศุข

วันอังคารที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวและกอง บก.ของสื่อต่าง ๆ เช็กข่าวกันหัวหมุน เพราะข่าวใหญ่ 2 ข่าว ในตอนเช้า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศรายชื่อ ครม.ที่มีการปรับปรุงใหม่ มี รมต.พ้นตำแหน่งจำนวนหนึ่ง และแต่งตั้งใหม่ 15 ตำแแหน่ง และในตอนบ่าย ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 9-0 รับคำร้องจากประธานวุฒิสภา ให้วินิจฉัยว่า ความเป็น รมต.หรือนายกฯ ของ น.ส.แพองธาร สิ้นสุดเป็นการเฉพาะตัว เพราะฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน

และมีมติ 7-2 ให้นายกฯแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี

เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงและเอกสารประกอบคำร้อง เห็นว่า กรณีเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (9) มีมติเป็นเอกฉันท์ รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน

และมีมติ 7 ต่อ 2 เห็นว่า ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ส่วนศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย 2 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ยุติชัดเจน ให้ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้อง มีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง

แต่เพื่อป้องกันความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง ให้ใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ห้ามมิให้ผู้ร้องใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และด้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ก็ต้องมารอดูกันว่า สุดท้ายแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยอย่างไร

ส่วนในเรื่องการปรับ ครม. อันเนื่องจากการถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย และเกิดกรณีกัมพูชาตามมา มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ทำให้ข่าวการปรับ ครม.เป็นที่สนใจมากขึ้น

ADVERTISMENT

ช่วงเช้าวันที่ 1 ก.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี และแต่งตั้งรัฐมนตรี

รายชื่อ รมต.ที่เปลี่ยนแปลง มีดังนี้ ที่พ้นจากตำแหน่งเดิม ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรฯ, นายอิทธิ ศิริลัทธยากร พ้นจาก รมช.เกษตรฯ, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ พ้นจาก รมว.พาณิชย์, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล พ้นจาก รมว.วัฒนธรรม, นายเดชอิศม์ ขาวทอง พ้นจาก รมช.สาธารณสุข

แต่งตั้งใหม่ มีทั้งคนเดิมและคนใหม่ มีดังนี้

นายภูมิธรรม กลับมาเป็น รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย, นายสุชาติ ตันเจริญ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สลับมาเป็น รมว.การอุดมศึกษาฯ, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เป็น รมว.เกษตรฯ, นายจตุพร บุรุษพัฒน์ เป็น รมว.พาณิชย์, นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ เป็น รมช.พาณิชย์, นายเดชอิศม์ ขาวทอง เป็น รมช.มหาดไทย, นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ เป็น รมว.แรงงาน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็น รมว.วัฒนธรรม อีกตำแหน่ง, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็น รมว.ศึกษาฯ, น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ เป็น รมช.ศึกษาฯ, นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เป็น รมช.ศึกษาฯ, นายอนุชา สะสมทรัพย์ เป็น รมช.สาธารณสุข, นายชัยชนะ เดชเดโช เป็น รมช.สาธารณสุข

โดย ครม.ชุดใหม่จะเข้าเฝ้าฯ และถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 3 ก.ค. ผู้นำเข้าเฝ้ฯา คงเป็น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯและ รมว.คมนาคม รักษาการนายกรัฐมนตรี

พรรคเพื่อไทยมีบทเรียนจากปัญหาเหล่านี้มามาก เลยเสนอชื่อ น.ส.แพทองธาร เป็น รมว.วัฒนธรรม อีกตำแหน่ง แม้ต้องหยุดหน้าที่นายกฯ ห้ามใช้หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และด้านการคลัง แต่ก็จะอยู่ในคณะรัฐมนตรีต่อไป

เป็นสถานการณ์หนักหน่วงของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล จากปัจจัยปัญหาทั้งนอกประเทศ และปัญหาภายใน

หนักหน่วงและซับซ้อนไปคนละแบบ