‘Wait and See’

ครม.ชุดใหม่
คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต

มึน ๆ อึน ๆ กันแทบทั้งสัปดาห์ กับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ

ไฮไลต์ไม่พ้นการเข้ารับตำแหน่งของ ครม.ชุดใหม่ หลังเข้าถวายสัตย์ฯเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม

แต่ที่พีกกว่าคือวันเดียวกับการโปรดเกล้าฯ ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีคลิปเสียงคุยกับ “ฮุน เซน”

การพักงานผู้นำประเทศของศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับคนไทยถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะโดนมาหลายคน ส่วนใหญ่ไปแล้วไปเลย

จะมีแค่บางคนที่ได้กลับมา ซึ่งก็พอจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอะไร ยังไง ?

แม้หลายฝ่ายจักมองว่าอำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่มีล้นเหลือ อาจจะขัด ๆ กับความเป็นประเทศประชาธิปไตยอยู่บ้าง

แต่ต้องยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ เราจำเป็นต้องอยู่กับมาตรฐานแบบนี้ให้ได้

ADVERTISMENT

ก็ขนาดเรียกร้องให้เกิดการรัฐประหารยังไม่มีความผิดฐานล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่กลับพยายามเอาผิดคนที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญบางมาตราว่ามีความคิดล้มล้าง คงพอจะเห็นภาพได้ชัดเจนแล้ว

อย่างไรก็ตาม อีกทางหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำประเทศบางท่าน เป็นฝ่ายเปิดช่องให้ผู้ที่จ้องเล่นงานได้มีโอกาสลงมือด้วยเช่นกัน

ถึงแม้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็แล้วแต่ ประเทศไทยยังต้องเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเป็นจุดสลบของทุกรัฐบาล

จนทำให้ในช่วง 10 ปีเศษมานี้ ไทยต้องปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ รัฐบาลกู้เงินหลายรอบเพื่อพยุงเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงอย่างมีนัย

เพราะปัญหาที่สะสม และหมักหมมมานาน บวกกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ และระหว่างประเทศ

การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยิ่งถอยหลังลงเรื่อย ๆ

จนเมื่อปรับคณะรัฐมนตรี บรรดานักธุรกิจ หรือนักเศรษฐศาสตร์ พยายามมองในแง่ดีว่า กระทรวงเศรษฐกิจต่าง ๆ น่าจะกระฉับกระเฉงขึ้น

หากดูรายชื่อแม้ส่วนหนึ่งจะเป็นหน้าเดิม ๆ หรือบ้านใหญ่ในแต่ละกลุ่ม แต่ก็มีคนรุ่นใหม่เข้ามารับตำแหน่งอยู่หลายคนด้วยกัน น่าจะพอคาดหวังได้ประมาณหนึ่ง

แต่ที่น่ากังวลสุดตอนนี้ไม่พ้นเสถียรภาพของรัฐบาล หลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไป

ทำให้เสียงฝ่ายรัฐบาลปริ่มน้ำเสียเหลือเกิน ต่างกันแค่ 10 กว่าเสียงเท่านั้น

แสดงชัดจากการประชุมสภานัดแรกหลังได้ ครม.ใหม่ ประธานสภาต้องชิงปิดประชุม หลังฝ่ายค้านขอนับองค์ประชุม

บรรดากูรูมองว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะเห็นบ่อยขึ้น หาก สส.ฝ่ายรัฐบาลมา ๆ ขาด ๆ แบบนี้

ยิ่งชัดมากขึ้น เมื่อมีการเสนอให้ถอนร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในวาระพิจารณาร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 ก.ค.

แม้จะอ้างเรื่องรอสมาชิก ครม.ใหม่ เข้ามามีส่วนร่วม แต่ส่วนหนึ่งไม่พ้นเสียงที่ปริ่มน้ำ อาจเกิดปัญหาขึ้นได้หากถูกตีตกกลางที่ประชุมสภา

อีกส่วนคือเสียงไม่เห็นด้วยที่ยังยืนกรานว่า ไทยไม่เหมาะจะมีเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

การที่รัฐบาลมีเสียงเฉียดฉิวขนาดนี้ ทำให้มีปัญหาเรื่องเสถียรภาพ ส่งผลถึงแผนการลงทุนต่าง ๆ ทั้งของรัฐเอง และเอกชนด้วย

เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่รอดูท่าทีก่อน เนื่องจากไม่มั่นใจว่าลงทุนลงแรงไปแล้ว เกิดมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผลกระทบที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

ทำให้ตอนนี้หน้าที่ของรัฐบาลนอกจากจะเร่งฟื้นเศรษฐกิจแล้ว ที่สำคัญกว่าต้องสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพด้วย

เพราะหากยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ แบบนี้ แทบทุกฝ่ายคงต้อง “Wait and See” ไปเรื่อย ๆ

แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น ที่สำคัญ ยิ่งลากยาวออกไป

ปัญหาก็จะยิ่งมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น