ทำ “โอที” ให้เป็นรายได้ประจำ

โอที
คอลัมน์ : SD TALK
ผู้เขียน : ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ https://tamrongsakk.blogspot.com

เมื่อพูดถึงคำว่า “ค่าล่วงเวลา” เรามักจะเรียกกันว่า “โอที” หรือ “ค่าโอ” ซึ่งในทางกฎหมายแรงงานหมายถึงการทำงานล่วงเวลา และการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด แต่เรา ๆ ท่าน ๆ มักจะเรียกรวมเอาเรื่องของค่าทำงานในวันหยุดรวมเข้าไปในความหมายของโอทีด้วย

บางบริษัทอาจมีนโยบายเพิ่มรายได้ให้พนักงานด้วยการให้ทำโอทีทุกวัน วันละกี่ชั่วโมงก็ว่ากันไป ทั้ง ๆ ที่ลักษณะงานที่ให้ทำก็ไม่ได้มีความเร่งด่วนฉุกเฉิน ไม่ทำก็ไม่ได้เกิดความเสียหายอะไร แถมโอทีก็ไม่ถือว่าเป็นค่าจ้างเพราะเป็นการจ่ายค่าตอบแทนนอกเวลาทำงานปกติเสียอีก ก็ยิ่งเข้าล็อกเลย เพราะไม่มีผลผูกพันในการใช้เป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

บริษัทที่มีนโยบายทำนองนี้มักมีการจ่ายค่าตอบแทนไม่สูงนัก แต่จะจูงใจให้คนทำงานให้มากขึ้นเพื่อจะได้ทำให้รายได้สูงขึ้น หรือไม่ก็แทนที่จะต้องเพิ่มอัตรากำลังให้เหมาะกับโหลดของงาน แต่ผู้บริหารคิดว่าขืนจ้างคนเพิ่มจะทำให้ต้นทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และทางฝั่งพนักงานเองอาจชอบ เพราะมีรายได้เพิ่มขึ้นเรียกว่าสมประโยชน์ทั้งผู้ให้และผู้รับ เช่น บริษัทเปิดทำการสัปดาห์ละ 6 วัน หยุดหนึ่งวัน มีชั่วโมงทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่เนื่องจากบริษัทจ่ายเงินเดือนให้พนักงานไม่มากนัก หรือไม่อยากจะเพิ่มอัตรากำลังคน จึงให้พนักงานทำโอทีเพิ่มวันละ 2 ชั่วโมง

สรุปว่าเป็นที่รู้กันทั้งพนักงาน และบริษัทว่าพนักงานทุกคนต้องทำงานวันละ 10 ชั่วโมง

ถ้าจะถามว่าบริษัทสามารถทำได้ไหม ?

ตอบได้ว่า “ทำได้” ครับ เพราะถ้าชั่วโมงการทำงานล่วงเวลายังไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ยังไม่ผิดกฎหมายแรงงาน (ทำงานล่วงเวลา 2 ชั่วโมงต่อวัน สัปดาห์ละ 6 วัน รวมเป็น 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) สมมุติว่าพนักงานเข้างาน 08.00-17.00 น.ต้องทำโอทีต่ออีก 2 ชั่วโมงก็จะเลิกงาน 1 ทุ่ม นี่ถือเป็นขั้นต่ำนะครับ ถ้าบริษัทให้ทำโอทีเต็มแม็กคือ 6 ชั่วโมงก็จะเลิกงาน 5 ทุ่ม และต้องทำงานอย่างนี้ทุกวัน ทุกเดือน และตลอดปี

แล้วคุณภาพชีวิตของพนักงานจะอยู่ที่ไหน ?

แม้ว่าจะมีวันหยุดให้สัปดาห์ละ 1 วันก็ตาม แต่มนุษย์นั้นมีร่างกายมีเลือดเนื้อนะครับ ไม่ได้เป็นคนเหล็กมาจากไหน เขาจะอดทนทำงานแบบนี้ไปได้เท่าไหร่ สุขภาพก็จะเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีเวลาที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง โดยสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นเงินค่าโอทีที่เขาต้องนำมาจุนเจือเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว ซึ่งจะทำได้ในช่วงที่อายุยังไม่มากนักและยังมีเรี่ยวแรงที่จะอึดอดทน

แต่ถ้าอายุมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ล่ะ เขาจะยังทำไหวไหม ?

เงิน….ใคร ๆ ก็อยากได้หรอกครับ แต่ผู้บริหารที่ดีควรคิดถึงถึงผลระยะยาวเกี่ยวกับสุขภาพ คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ หรือครอบครัวของพนักงานว่าจะเป็นอย่างไร

ผมเคยต่อว่าหัวหน้างานที่สั่งให้ลูกน้องทำโอทีแบบหามรุ่งหามค่ำเป็นชั่วโมงทำงานที่ติดต่อกัน (นับรวมชั่วโมงทำงานปกติรวมกับชั่วโมงที่ทำโอที) 2-3 วัน โดยอ้างว่างานเร่ง ลูกค้าต้องการด่วน ตัวลูกน้องก็อยากได้โอที และคิดว่าตัวเองอายุยังน้อยยังสู้ไหวก็ทำงานติดต่อกันแบบไม่หลับไม่นอน 2-3 วัน จนที่สุดเมื่องานส่งมอบให้ลูกค้า ลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านระหว่างทางไปเสยท้ายรถบรรทุกที่จอดข้างทางเพราะหลับใน ดีนะครับที่ไม่ถึงกับเสียชีวิต

อย่าลืมว่าคนเราไม่ได้มีชีวิตแต่ที่ทำงานเพียงด้านเดียวนะครับ พนักงานในบริษัทของท่านยังมีคนที่เขารัก และรักเขารอคอยอยู่ที่บ้านด้วยเหมือนกัน นี่ยังไม่รวมสวัสดิภาพความปลอดภัยในการเดินทางกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ของพนักงานหญิงนะครับ

ถ้าผู้บังคับบัญชาคิดแต่จะเร่งงานจนลืมคิดถึงความอ่อนล้าของคน หรือไม่คำนึงถึงสวัสดิภาพความปลอดภัยของลูกน้อง คิดแต่เพียงง่าย ๆ ว่าขอให้งานเสร็จ งานเสร็จเราก็จ่ายเงิน (โอที) ให้พนักงานก็แฮปปี้เพราะได้เงินมีรายได้เพิ่ม

คิดอย่างนี้ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ ?

แม้ลูกน้องอยากจะมีรายได้เพิ่มจากการทำโอที แต่ผู้บริหารก็ควรจะต้องมีดุลพินิจและมีสามัญสำนึกที่เหมาะสมด้วย จากที่ผมบอกมาทั้งหมดนี้จึงควรกลับมาทบทวนว่าบริษัทของเรามุ่งลด cost เสียจนทำให้จ่ายค่าตอบแทนต่ำกว่าตลาดมากเกินไปหรือไม่ จนทำให้ต้องมาทำให้โอทีเป็นรายได้

ในอนาคตบริษัทของเราจะมีพนักงานที่กรอบเพราะทำงานหนักจนเกินไปหรือไม่ เราจะมีแต่พนักงานขี้โรคสุขภาพย่ำแย่ที่ขาดความสามารถจะเติบโตไปกับองค์กรในอนาคตหรือไม่ พนักงานจะมีปัญหาครอบครัวเพิ่มขึ้นเพราะมัวแต่ทำโอทีแล้วไม่มีเวลาดูแลครอบครัวจนในที่สุดปัญหาครอบครัวจะลามมาถึงที่ทำงานหรือไม่


เพราะ work life balance ยังเป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งที่จะรักษาคนเอาไว้ให้อยู่กับองค์กรครับ