
คอลัมน์ : SD TALK ผู้เขียน : อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
พนักงานที่ตัวอยู่แต่ใจจากไป สร้างความเสียหายให้องค์กรกว่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี สำหรับเรื่องนี้ McKinsey บริษัทที่ปรึกษายักษ์ใหญ่เปิดเผยรายงานการเก็บข้อมูลจากพนักงานเกือบ ๆ 10,000 คนในองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศอังกฤษ พบกว่า 20% ของพนักงานที่ไม่มีความสุข และไม่รู้สึกผูกพันกับองค์กร ยังคงเลือกที่จะอยู่กับองค์กรต่อไป (Quiet Quitters) และพวกนี้แหละที่สร้างความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับองค์กร
จากผลสำรวจพบว่าปัจจัยหลัก ๆ 6 ประการต่อไปนี้ (รวมกันเป็น 63%) เป็นเหตุผลที่ทำให้พนักงานไม่มีความสุข และไม่รู้สึกผูกพันกับองค์กร (เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย)
1.รู้สึกว่ารายได้ไม่เหมาะสมกับงานและความรับผิดชอบ (12%)
2.รู้สึกว่างานที่ทำไม่มีความหมาย หรือไม่ค่อยสำคัญ (12%)
3.รู้สึกว่าสถานที่ทำงานไม่ค่อยมีความยืดหยุ่น ทั้งในเรื่องเวลาทำงานและกฎระเบียบต่าง ๆ (11%)
4.รู้สึกว่าไม่ค่อยได้เรียนรู้และมองไม่เห็นโอกาสเติบโต (10%)
5.รู้สึกว่าคนในที่ทำงานไม่ค่อยรับผิดชอบและไม่ให้ความร่วมมือ (9%)
6.รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่มีความปลอดภัย (9%)
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ Gallup บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการทำวิจัยอันดับต้น ๆ ของโลก จากการศึกษาและเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลจากทุกทวีปทั่วโลก พบว่าพนักงานที่ตัวอยู่แต่ใจจากไปทำร้ายองค์กรมากกว่าตัวจากไปด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะไม่ทุ่มเทในการทำงานแล้ว ยังขวางทางในการรับพนักงานใหม่มาทดแทนอีกด้วย
แนวทางแก้ไข ควรทำอย่างไร ?
1.การที่องค์กรมีวัตถุประสงค์ในการดำรงอยู่ (Purpose) ที่ชัดเจน และเชื่อมโยงเป้าหมายในชีวิตของพนักงานกับ Purpose ขององค์กรได้ จะช่วยเพิ่มความรู้สึกผูกพันให้กับพนักงาน-งานวิจัยพบว่าพนักงาน 89% ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย (Purposeful Life) ไม่ได้อยากแค่อยู่ไปวัน ๆ แต่ 70% ของพนักงานเหล่านั้นกลับไม่รู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตของพวกเขากับงานที่ทำอยู่ไปในทิศทางเดียวกัน (พูดง่าย ๆ คืองานไม่ตอบโจทย์ชีวิตส่วนตัว)
2.การใส่ใจ (Empathy) จากผู้บริหารและหัวหน้างานโดยตรง ช่วยเพิ่มความสุขและความผูกพันให้กับพนักงานได้-งานวิจัยพบว่าพนักงานที่เชื่อว่าองค์กรและหัวหน้างานใส่ใจพวกเขา มีสถิติการลาป่วยต่ำและมีสุขภาวะทางจิต (Mental Health) ดีกว่าพนักงานที่รู้สึกตรงกันข้าม ที่สำคัญพนักงานเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะอยู่กับองค์กรนานกว่า มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า และมีผลงานโดยรวมที่ดีกว่าด้วย
แม้จะเป็นงานวิจัยที่เก็บข้อมูลในต่างประเทศ แต่ผมคิดว่าก็ไม่น่าต่างกันมากนักกับบริบทในบ้านเรา
หรือคุณคิดว่ายังไง ?