ใช้ AI ยังไงไม่ให้ “ตกงาน”

คอลัมน์ : SD Talk
ผู้เขียน : พิชญ์พจี สายเชื้อ

ยุคนี้ไม่พูดถึง AI คงไม่ได้แล้ว AI ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับปรุงการตัดสินใจ และเพิ่มผลิตภาพ แต่ “ความกังวล” หลักของพนักงานคือ เราจะใช้ AI อย่างไรโดยไม่ทำให้เราตกงาน คำตอบคือใช้ AI ในการ “เสริมสร้าง” หรือ Compliment ความสามารถของมนุษย์ แทนที่จะเป็น “การทดแทน” หรือ Replace ค่ะ โดยหลักสำคัญของการใช้ AI คือ

1) เพื่อเพิ่มผลิตภาพ หรือ Productivity : AI สามารถทำให้กระบวนการที่ซ้ำซากและน่าเบื่อเป็นอัตโนมัติได้ ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานด้านกลยุทธ์และสร้างสรรค์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น แผนกบริการลูกค้าสามารถนำ AI Chatbot มาใช้เพื่อจัดการคำถามพื้นฐาน ทำให้มนุษย์สามารถมีเวลาในการบริหารจัดการเคสของลูกค้าที่ยาก และซับซ้อนที่ต้องการ Human Touch ได้มากขึ้น (เป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่าค่ะ)

2) ใช้สำหรับการตัดสินใจที่มากล้นด้วยข้อมูล : ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่ใช้เวลามนุษย์มากขึ้นในการค้นหา สิ่งนี้ช่วยให้พนักงานและฝ่ายบริหารสามารถตัดสินใจได้โดยอิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้วิเคราะห์ เทรนด์ จากสถิติตัวเลขต่าง ๆ เพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์ในด้านต่าง ๆ ได้เร็วและดีขึ้นมาก

3) นำ AI มาปรับให้เข้ากับบุคคล หรือการ Customize โปรแกรมต่าง ๆ ตามความต้องการ “เฉพาะ” ส่วนบุคคล : AI สามารถช่วยสร้างความผูกพันของพนักงานโดยการเสนอโปรแกรมการฝึกอบรมและพัฒนาที่ปรับให้เข้ากับบุคคล โดยการวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพพนักงาน

รวมทั้งการที่องค์กรสามารถปรับโอกาสการเรียนรู้ให้ตรงกับความต้องการของแต่ละคน ส่งเสริมวัฒนธรรมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มทักษะ Reskill Upskill ได้อีกด้วย

4) นำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำงานร่วมกัน : แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถปรับปรุงการสื่อสารภายในทีม ทำให้การจัดการโครงการมีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของงาน ตั้งเวลาเส้นตาย และติดตามความก้าวหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าทีมทำงานได้อย่างร่วมมือและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ADVERTISMENT

ถัดมาลองมาดู Case Study บริษัทดัง ๆ ที่นำ AI มาใช้แล้วเกิดประโยชน์กันค่ะ อย่างยูนิลีเวอร์ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ ได้ใช้เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อการจัดหางาน โดยใช้การวิเคราะห์เพื่อคัดกรองประวัติการทำงานของผู้สมัคร กระบวนการนี้ช่วยลดเวลาในการสรรหาได้ถึง 20% ทำให้ HR มีเวลามากขึ้นในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้สมัคร

นอกจากนี้ ระบบ AI ยังช่วยเพิ่มคุณภาพของการจ้างงานใหม่ขึ้นถึง 25% ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพของแรงงานโดยรวมดีขึ้น หรือบริษัทเยอรมนี อย่าง ซีเมนส์ได้นำ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต โดยใช้การบำรุงรักษาที่คาดการณ์ได้จากการวิเคราะห์ AI ทำให้ลดการหยุดทำงานของเครื่องจักรลงได้ 30% และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยรวมถึง 20%

ADVERTISMENT

ระบบ AI สามารถคาดการณ์การล้มเหลวของเครื่องจักร ทำให้ทีมงานสามารถซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที นี่ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนที่เกิดจากการหยุดทำงาน แต่ยังช่วยให้ใช้ทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น

สรุปว่าการนำ AI มาใช้ ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่จริง ๆ ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับพนักงานในการทำงานอย่างมีความหมายมากขึ้น (Work with Purpose) AI นั้นไม่ได้เข้ามาแทนที่เรา แต่ช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ และมุ่งสู่เป้าหมายที่สูงขึ้น

เราควรมองว่า AI เป็นเพื่อนคู่คิด (ไม่ใช่ศัตรู) พันธมิตรที่จะช่วยให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ พัฒนาทั้งทักษะของบุคลากร และการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ในที่สุดการใช้ AI คือความร่วมมือที่กลมกลืนระหว่างเทคโนโลยีและมนุษย์ ซึ่งจะเป็นการสร้างอนาคตที่สดใสและน่าตื่นเต้นสำหรับการทำงานในยุคใหม่ ขอให้ทุกท่านสนุกสนานในการใช้ AI นะคะ !