อนาคตการทำงานและภาวะผู้นำในประเทศไทย

คอลัมน์ : SD TALK
ผู้เขียน : อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

ในวันเปิดตัว IMPACT Leadership : บริการพัฒนาภาวะผู้นำสำหรับผู้บริหารและหัวหน้ารูปแบบใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพูดถึงงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง สลิงชอท กรุ๊ป กับศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา FutureTales Lab

โดย MQDC ที่คาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าสภาพแวดล้อมการทำงานของไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเทคโนโลยี วัฒนธรรมองค์กร และแนวคิดการบริหารคนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้น ผู้นำต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เพื่อสร้างองค์กรที่มีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน

นี่คือแนวโน้ม 5 ประการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

1.การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและวัฒนธรรมไทย (Tech Meets Traditions) เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ เทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในการแนะนำเพื่อนร่วมงานใหม่ ส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ และเสริมสร้างโอกาสให้พนักงานได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ

แม้ว่าหลายองค์กรจะมีพนักงานทำงานจากหลากหลายสถานที่ แต่เทคโนโลยีจะช่วยให้ทุกคนยังคงเชื่อมโยงกันได้โดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น เทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์และลอยกระทง ก็สามารถเฉลิมฉลองร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยพนักงานสามารถแลกเปลี่ยนของขวัญดิจิทัล หรือส่งคำอวยพรเสมือนจริงถึงกันได้ ทำให้แม้จะอยู่ห่างไกลก็ยังรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร

2.เทศกาลแห่งวิกฤตท่ามกลางคลื่นลมของความไม่แน่นอน (Crisis Festivals in Uncertain Waves) – ผู้นำต้องให้ความสำคัญกับการบริหารคนมากกว่าที่เคย เพราะพนักงานต้องเผชิญกับความเครียดจากสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ADVERTISMENT

รวมถึงความกดดันทางสังคมที่เพิ่มขึ้น องค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน การดูแลสุขภาพจิต และการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและงาน จะสามารถรักษาพนักงานที่มีคุณภาพเอาไว้ได้ จากนี้ไปผู้นำต้องทำหน้าที่เป็นทั้งผู้บริหารและที่ปรึกษาทางอารมณ์สำหรับพนักงาน ต้องสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกมั่นคง มีคุณค่า และมีแรงจูงใจในการทำงาน

การบริหารงานแบบเน้นผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้นำต้องเปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็นและพัฒนาตัวเอง เพื่อให้สามารถปรับตัวและเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นใจ

ADVERTISMENT

3.ยุคแห่งอัตลักษณ์ที่หลากหลาย (The Versatile Identity Era) – รูปแบบการทำงานของคนไทยจะเปลี่ยนไปอย่างมาก จากเดิมที่เคยทำงานในองค์กรเพียงแห่งเดียว คนทำงานในอนาคตจะหันมาทำงานแบบ Multigig Economy หรือการทำงานหลายอาชีพพร้อมกัน ซึ่งเปิดโอกาสให้แต่ละคนสามารถใช้ทักษะที่หลากหลายและออกแบบเส้นทางอาชีพของตัวเองได้มากขึ้น

เทคโนโลยีจะช่วยให้คนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดแรงงาน คนที่สามารถพัฒนาทักษะและสร้างแบรนด์ส่วนตัวที่แข็งแกร่งจะมีโอกาสมากกว่า ในทางกลับกันผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาจต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น

ผู้นำองค์กรต้องเข้าใจแนวโน้มนี้ และออกแบบนโยบายการจ้างงานให้ยืดหยุ่นและโปร่งใส เพื่อดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน นอกจากนี้ ยังต้องสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อให้พนักงานสามารถเติบโตไปพร้อม ๆ กับองค์กรได้ด้วย

4.อนุรักษนิยมยุคใหม่ (Neotraditionalism) – ผู้นำต้องสามารถผสมผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมให้เข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อสร้างคุณค่าและความแตกต่างให้กับองค์กร หลักคำสอนทางศาสนา เช่น ความเมตตา การให้อภัย และทางสายกลาง สามารถนำมาใช้ในการบริหารคน เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม องค์กรต้องหาวิธีปรับใช้แนวคิดนี้ให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล ระบบอาวุโส และโครงสร้างที่เคร่งครัดอาจไม่สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานที่ยืดหยุ่นของคนรุ่นใหม่ ผู้นำต้องหาวิธีผสมผสานคุณค่าทางวัฒนธรรมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคม เพื่อให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.พลังแห่งความหลากหลายเพื่อโลกที่อยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม (Diverse Synergy for an Inclusive World) – ความหลากหลายจะกลายเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรในอนาคต องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันของคนที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติ อายุ เพศ และพื้นเพทางสังคม เทคโนโลยี

เช่น AI และแพลตฟอร์มอัจฉริยะจะช่วยสนับสนุนการทำงานของทีมที่มีความหลากหลาย ช่วยให้เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานทุกคนรู้สึกมีคุณค่าและมีส่วนร่วม ผู้นำต้องพัฒนา EQ และทักษะในการบริหารทีมที่มีความหลากหลาย เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่แข็งแกร่งและนำพาทีมไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

การทำงานระหว่างเจเนอเรชั่นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ องค์กรต้องสนับสนุนแรงงานสูงวัย และสร้างโอกาสให้ทุกคนสามารถเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกัน

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ผู้นำในอนาคตต้องมีความสามารถในการปรับตัวและมองการณ์ไกล ไม่เพียงแค่บริหารงานได้ดี แต่ต้องสามารถสร้างแรงบันดาลใจ สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน และดึงดูดคนเก่งให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว การทำงานในอนาคตจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่หากองค์กรสามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มเหล่านี้ได้ ก็จะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน