
คอลัมน์ : SD Talk ผู้เขียน : ศ.ดร.นพ. ศรายุทธ ลูเซียน กีเตอร์ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
“มะเร็งปอด” เป็นสิ่งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้ชาย และอันดับ 4 ในผู้หญิง โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบโรคในระยะลุกลาม (ระยะที่ 4) ซึ่งทำให้โอกาสหายขาดลดลง และต้องเข้าสู่การรักษาแบบประคับประคอง
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งปอดยังคงเป็นการสูบบุหรี่ แต่ในปัจจุบันยังพบความเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่น เช่น มลพิษทางอากาศ (PM 2.5) และพันธุกรรม โดยมีแนวโน้มพบผู้ป่วยในวัยที่น้อยลง และประเทศไทยยังมีผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งปอดสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
ในบางประเทศมีแนวทางคัดกรองกลุ่มผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพันธุกรรม แต่เกิดจากการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ซึ่งสะท้อนว่าแนวทางการคัดกรองจำเป็นต้องปรับให้สอดคล้องกับบริบทและข้อมูลเชิงพื้นที่
แม้ว่าความก้าวหน้าในการรักษามะเร็งปอดในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง การฉายรังสีแบบแม่นยำ และการใช้ยามุ่งเป้า แต่การเข้าถึงนวัตกรรมเหล่านี้ยังคงมีข้อจำกัดในระบบหลักประกันสุขภาพ
หน่วยงานภาครัฐกำลังอยู่ระหว่างการทบทวนเกณฑ์ความคุ้มค่าที่ใช้พิจารณายาและนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคที่มีความรุนแรงสูงอย่างมะเร็งปอด
การพิจารณาปรับเกณฑ์นี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยยังรักษาความสมดุลของงบประมาณระบบสุขภาพโดยรวม
ผมเสนอให้มีแนวทางบริหารจัดการ เช่น การจัดซื้อรวม การตั้งงบประมาณเฉพาะด้าน เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยานวัตกรรม ซึ่งจะช่วยให้โรงพยาบาลสามารถดำเนินการรักษาได้โดยไม่เพิ่มภาระทางการเงิน
และที่สำคัญคือส่งเสริมให้เกิด “Stage Shift” หรือการตรวจพบโรคในระยะแรกเริ่ม แทนระยะลุกลาม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาหาย ลดต้นทุนในระยะยาว และทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
หากการคัดกรองทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ถูกตรวจพบในระยะที่ 1 แทนที่จะเป็นระยะที่ 4 นั่นหมายความว่าเราสามารถเปลี่ยน Mode of Death หรือวิธีการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากมะเร็งปอด ไปเป็นการเสียชีวิตตามวัยชราภาพได้ ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง