คอลัมน์ Market-think โดย สรกล อดุลยานนท์
ผมเชื่อว่าตอนนี้เพลง “คุ้กกี้เสี่ยงทาย” เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของหลาย ๆ คน
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
บางคนเผลอ ๆ ก็ฮัมเพลงนี้ขึ้นมา
หรือเปิดเฟซบุ๊กทีไรก็จะต้องเจอเพื่อนคนใดคนหนึ่งพูดถึงเพลงนี้
บางคนหนักกว่าเพราะสามารถเต้นตามเพลง “คุ้กกี้เสี่ยงทาย” ได้ด้วย
ตอนนี้ต้องยอมรับว่ากระแส BNK48 มาแรงมาก
แรงจนน่าตกใจ
ถ้าวัดกระแสความแรง ต้องบอกว่าค่อยเป็นค่อยไป
ไม่ใช่ “สึนามิ” แบบ The Mask Singer ที่เปิดตัวก็แรงเลย
แต่ค่อยเป็นค่อยไปของ BNK48 ก็เป็นไปตามกฎของ “มัวร์”
คือ ไม่ใช่ค่อย ๆ ไต่กราฟขึ้นไป
แต่เป็นการเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
กระแสวันนี้เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้ว
เวลาไม่ถึง 1 เดือน ความแรงของ BNK48 ทะยานขึ้นเร็วมาก
แม้ผมจะติดตามปรากฏการณ์ BNK48 มาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ยังนึกไม่ถึงว่าศิลปินกลุ่มนี้จะมาได้ไกลขนาดนี้ในเวลาสั้น ๆ
ผมบอก “ต้อม” จิรัฐ บวรวัฒนะ บอสใหญ่ของ BNK48 ว่า “จุดตัด” ที่ผมถือว่า BNK48 ติดลมบนแล้วก็คือ วันที่ศิลปินดังค่ายแกรมมี่นำเพลงนี้มาร้องและเต้น
เริ่มจาก “แก้ม-โดม เดอะสตาร์” และ “ปาล์ม Instinct” นำเพลง “คุ้กกี้เสี่ยงทาย” ไปร้องและเต้นในรายการหนึ่ง
ตามมาด้วย “ออฟ ปองศักดิ์-ว่าน-ป๊อบ-โอ๊ต ปราโมทย์” ใช้เพลงนี้ในการแถลงข่าวคอนเสิร์ตของเขา
ถ้าไม่แรงจริง “แกรมมี่” ไม่เล่นหรอกครับ
ตอนนี้ BNK 48 เนื้อหอมมาก
รายการต่าง ๆ ก็เชิญไปออกรายการ
สื่อสำนักต่าง ๆ แย่งคิวสัมภาษณ์ทั้งผู้บริหารและศิลปิน
มีสินค้าหลายตัวติดต่อน้อง ๆ BNK48 ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์
หนังใหม่ค่าย GDH และซีรีส์ก็มีน้อง ๆ ไปเล่น
คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์ BNK48 ขึ้นมา
ในมุมธุรกิจน่าศึกษามากนะครับ
เพราะถ้ามองในมุมธุรกิจเพลง
ธุรกิจเพลงกำลังโดน disrupt อย่างรุนแรง
“เพลง” ยังอยู่ แต่คนโหลดฟังฟรี ไม่ยอมซื้อ
ในวันที่แกรมมี่ฯต้องอาศัยคอนเสิร์ตเป็นช่องทางทำรายได้
คอนเสิร์ต G19 ขายบัตร 6 หมื่นใบหมดภายใน 15 นาที
แต่ “อาร์เอส” กลับเลือกที่จะถอนสมอจากวงการเพลง
ประกาศตัวเป็น 7-11 ที่ไม่มีหน้าร้าน
รายได้หลักกลายเป็นการขายเครื่องสำอางในระบบขายตรง
BNK48 กลับแจ้งเกิดขึ้นมาด้วยโมเดลธุรกิจใหม่
มี “เพลง”
มี “ศิลปิน” เหมือนเดิม
แต่กลยุทธ์การทำธุรกิจเปลี่ยนไป
เขาบอกว่าสินค้าของเขา คือ “ความพยายาม”
น้อง ๆ แต่ละคนไม่ได้สวยมาก ร้องเพลงเก่งมาก
แต่ฝึกฝนทุกวัน ไม่ยอมแพ้
เป็น “ไอดอล” ไม่ใช่ “นักร้อง”
คนที่ติดตามหรือที่เรียกว่า “โอตะ” จะเป็นคนให้กำลังใจน้อง ๆ
คล้าย ๆ กับคนที่ติดตามศิลปิน AF
แต่ BNK48 มีช่องทางการให้กำลังใจ
คือ การขายบัตรจับมือ แค่ 8 วินาทีที่ได้จับมือกับ “ไอดอล”
เชื่อไหมครับ ห้างแทบแตก
มีการ live ทุกวันผ่านทางห้องกระจกหรือที่เรียกกันว่า “ตู้ปลา” ที่เอ็มควอเทียร์
“ต้อม” บอกว่า BNK48 เป็น “ไอดอล” ที่เจอง่าย
แต่กติกาเข้มมาก
เช่น ห้ามถ่ายรูปเซลฟีกับน้อง ๆ เด็ดขาด
ถ้าจะถ่ายรูป เดี๋ยวมีบัตรถ่ายรูปขายให้
ลองตีโจทย์ธุรกิจของ BNK48 ดี ๆ มีมุมธุรกิจให้ศึกษาเยอะทีเดียว
แค่พลิกมุมธุรกิจ
“สินค้าเดิม” ก็กลายเป็น “สินค้าใหม่”
ผมนึกถึง คุณตัน ภาสกรนที ในยุคก่อน
เขาบุกตลาดกัมพูชา ขายในงานแข่งเรือซึ่งเป็นงานระดับชาติของกัมพูชา
คุณตันใช้แคมเปญที่ฮิตในเมืองไทย คือ ขายชาเขียว 2 ขวด 40 บาท แถมตุ๊กตา 1 ตัว
แต่โฆษกกัมพูชาประกาศแล้วประกาศอีกก็ไม่มีใครซื้อ เพราะชาวกัมพูชาไม่รู้จักชาเขียวยี่ห้อนี้
แต่คุณตันสังเกตว่าทุกครั้งที่ประกาศมีคนกลุ่มหนึ่งตาลุกวาว
“เด็ก” ครับ
เขาเลยสั่งเปลี่ยนแคมเปญใหม่
ตุ๊กตา 1 ตัว 40 บาท
แถมชาเขียว 2 ขวด
เด็กกระตุกมือพ่อแม่ ต่อคิวซื้อตุ๊กตาชาเขียวเกลี้ยง
ครับ แคมเปญเดิม แต่พลิกกลยุทธ์ใหม่
เหมือน BNK48 ตอนนี้
“บัตรจับมือ 1 ใบ” แถมซีดี 1 แผ่น