คอลัมน์ Market-think โดย สรกล อดุลยานนท์
ตอนนี้คำฮิตในวงการธุรกิจ คือ คำว่า “บิ๊กดาต้า”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- KNLA ถอนกำลังจากเมียวดี ไปโจมตีทหารเมียนมากองพล 55 ผู้ลี้ภัยข้ามฝั่งกลับแล้ว
ยิ่งเข้าสู่โลกดิจิทัล ทุกธุรกิจใช้โซเชียลมีเดีย คำคำนี้ยิ่งมีการพูดถึงเยอะ
อะไร ๆ ก็ “บิ๊กดาต้า”
ข้อมูลของลูกค้ากลายเป็น “เหมืองแร่ทองคำ”
ใครมี “บิ๊กดาต้า” เยอะ ยิ่งได้เปรียบ
แต่ทั้งหมดยังเป็นประโยคบอกเล่าอยู่
เพราะมีน้อยองค์กรมากที่สามารถสังเคราะห์ “บิ๊กดาต้า” เหล่านี้ให้กลายเป็น “รายได้”
ส่วนใหญ่มี “บิ๊กดาต้า” แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะแปร “แร่ทองคำ” ที่อยู่ในเหมืองให้กลายเป็น “ทองแท่ง” ได้อย่างไร
ยกเว้นพวกที่ทำขายของออนไลน์
อย่าง JIB เขาใช้ข้อมูลการซื้อขายของลูกค้าให้เป็นประโยชน์เพิ่มยอดขายในอนาคตได้
เช่น สินค้าตัวไหนที่ลูกค้าเคยสนใจเอาใส่ตะกร้า แต่เอาออกไม่ซื้อเพราะเงินไม่พอ หรือเลือกของที่จำเป็นกว่า
ข้อมูลนี้เขาจะเก็บไว้ จนวันหนึ่งสินค้าตัวนั้นจะลดราคาพิเศษ
ลูกค้าคนนี้จะเป็น “กลุ่มเป้าหมาย”
เพราะเคยแสดงความสนใจให้เห็น
เขาจะส่งข้อมูลไปให้ลูกค้าคนนี้ทันที
หรือกรณีของ Build.com ของ “ไผท ผดุงถิ่น” ก็น่าสนใจ
เขาใช้วิธีการให้ซอฟต์แวร์ด้านบัญชีฟรีกับผู้รับเหมา เพื่อให้ทำงานเป็นระบบ ควบคุมต้นทุนสินค้าได้
สร้างชุมชน “ผู้รับเหมา” ขึ้นมาในเว็บไซต์
เขาเก็บข้อมูลผู้รับเหมาและความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างในแต่ละพื้นที่
จากนั้นก็แปรสภาพ “บิ๊กดาต้า”
ขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์ให้กับ “ผู้รับเหมา” กลุ่มนี้
ล่าสุดเขาจัดงาน “รักเหมา Fest 2018 : เปิดกล่อง ส่องเครื่องมือช่าง” ขึ้นมาในวันที่ 9-10 มีนาคมนี้ ที่แอร์พอร์ตเรลลิงก์ มักกะสัน
เป็นงานใหญ่สำหรับ “ผู้รับเหมา” และคนที่ต้องการต่อเติมบ้านและอยากได้ผู้รับเหมาดี ๆ
เขานำ “บิ๊กดาต้า” เรื่อง “ผู้รับเหมา” มาแปรสภาพอีกรอบ
แบบนี้ถือว่าใช้ “บิ๊กดาต้า” เป็น
แต่ผมเชื่อว่ายังมีอีกมากมายที่ยังแปร “บิ๊กดาต้า” ให้เป็น “รายได้” ไม่ได้
นี่คือ “โอกาส” ของคนที่มีความรู้เรื่องนี้
ใครทำเป็นและใช้เป็น
คนนั้นคือ “มนุษย์ทองคำ” ของโลกธุรกิจในยุคหน้า
ตอนนี้เท่าที่รู้ว่าวงการแบงก์มีหลายแห่งที่เริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
โมเดลของ “อาลีบาบา” ในจีนสั่นสะเทือนคนในวงการธนาคารมาก
“ข้อมูล” ที่เกิดขึ้นจากการค้าขายกลายเป็น “บิ๊กดาต้า” ที่ดีเยี่ยม
ทำให้เขาปล่อยกู้กับ “ลูกค้า” ของเขาในอาลีบาบาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระดับที่ “ความเสี่ยง” เกือบเท่ากับ 0
เพราะเขารู้ว่าลูกค้ามีรายได้ต่อเดือนเท่าไรจากการขายผ่าน “อาลีบาบา”
จริง ๆ ถ้าเมืองไทยเปิดให้บริษัทต่าง ๆ ปล่อยเงินกู้ได้
แบงก์จะเหนื่อยกว่านี้
นึกถึง 7-11 ศูนย์การค้าที่มี “คู่ค้า” จำนวนมาก
รู้ว่าใครขายดีไม่ดี
บริษัทต่าง ๆ ที่มีเอเย่นต์หรือซัพพลายเออร์จำนวนมาก
รู้ว่าใครเป็นอย่างไร
เขามี “ข้อมูล” ดีกว่าแบงก์อีก
ไม่แปลกที่แบงก์ทุกแบงก์จะเริ่มบุกเรื่อง “คิวอาร์โค้ด” อย่างจริงจัง
เพราะถ้าระบบการซื้อขายสินค้าใช้ระบบนี้เต็มตัวเมื่อไร
แบงก์จะมีข้อมูลของ “ร้านค้า” ต่าง ๆ อยู่ในมือ
เพราะเงินจะผ่านระบบบัญชีแบงก์ก่อน
“ข้อมูล” เรื่องยอดการซื้อขายน่าเชื่อถือกว่า “สินทรัพย์” ที่นำมาค้ำประกันอีก
ต่อไปอาจมีเงื่อนไขปล่อยกู้ แต่หักเงินจากยอดซื้อขายได้เลย
เกมธุรกิจต่อจากนี้ไปคงเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมาก
เห็นความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วแบบนี้
นึกถึง “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” เลยครับ
กล้าหาญแท้ทรู…