
คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
ผมเพิ่งคุยกับรุ่นพี่ที่ทำงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
เขาบ่นว่าสถานการณ์ตอนนี้ส่งสัญญาณน่าเป็นห่วงมาก
ตอนที่ฟัง ผมนึกถึงบทวิเคราะห์ของ ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น จากจุฬาลงกรณ์ บิสซิเนส สคูล ขึ้นมาทันที
ตอนนั้นเป็นช่วงแรก ๆ ที่มีการถกเถียงว่าธนาคารพาณิชย์มีกำไรเกินควรไหม และแบงก์ชาติควรลดดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่
ดร.รุ่งเกียรติ เอาข้อมูลของแบงก์ชาติมาวิเคราะห์เป็นข้อ ๆ
ก่อนสรุปตอนท้ายว่า หากดอกเบี้ยนโยบายยังไม่ปรับลดลงในเวลาอันสั้น เพื่อให้สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศของไทย
“ผมคิดว่าในอนาคตธนาคารพาณิชย์ไทยคงจะต้องพบกับหนี้เสียอย่างมากเช่นกัน แต่สถานการณ์ดังกล่าวประชาชนทุกคนก็คงเจ็บตัวไม่แพ้กัน และประชาชนทั่วไปไม่ได้มีกำไรในอดีตมาตุนเหมือนธนาคารพาณิชย์ไทยในปัจจุบัน เพราะในปัจจุบันประชาชนช่วยกันจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารเอาไปตุนไว้แล้ว”
กรณีของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตอนนี้ เหมือน “งูกินหาง”
เริ่มต้นจากปัญหาแบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับคนกู้ซื้อบ้านประมาณ 50%
เพราะ “หนี้ครัวเรือน” สูง
เงินที่เหลือในกระเป๋าไม่พอจ่ายค่าผ่อนบ้านต่อเดือนที่สูงขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ขยับตัวขึ้น
ในขณะที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ล้วนแต่ขอสินเชื่อแบงก์มาทำโครงการ
เขาขายคอนโดฯหรือบ้านได้หมดโครงการ แต่ลูกค้ากลับกู้ไม่ผ่าน 50%
เขาก็ต้องเอาห้องหรือบ้านกลับมาเร่ขายใหม่
ถ้าจุดคุ้มทุนของโครงการอยู่ที่ 60%
หมายความว่าเขาขาดเงินสดหมุนเวียนประมาณ 10%
พอเริ่มขาดเงิน กลยุทธ์ง่ายที่สุดก็คือ “ดึงเงิน”
อะไรที่ต้องจ่ายก็ยังไม่จ่าย
ขอเครดิตเพิ่ม หรือตีเช็คล่วงหน้าไปไกลกว่าเดิม
คนที่รับเคราะห์ทอดแรก ก็คือ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง
ซึ่งตอนนี้หลายบริษัทก็หนักหนาสาหัสจากการประมูลโครงการรัฐ
งบประมาณปีนี้ล่าช้า จนถึงวันนี้ยังไม่ผ่านสภาเลย
กว่าจะเริ่มใช้งบประมาณได้ก็ประมาณเดือนเมษายนเป็นอย่างเร็ว
แต่โครงการที่ก่อสร้างก็ต้องทำต่อไป
เจอรัฐดึงเงินแบบไม่ตั้งใจไประลอกหนึ่ง
มาเจอปัญหาแบงก์ไม่ปล่อยกู้ให้ลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ซ้ำเข้าอีก
ตอนนี้ “ตอยังไม่ผุด” หรอกครับ
แต่มีสัญญาณควันบาง ๆ ให้เห็นแล้ว
ที่น่ากลัวก็คือ ถ้าเริ่มมีการดึงเงิน จ่ายเงินล่าช้า สิ่งที่ตามมาก็คือ “คู่ค้า” จะเริ่มระแวงกัน
ระบบเครดิต ที่เกิดจาก “ความเชื่อมั่น” ระหว่างกัน ประเภทที่เอาของไปก่อน อีก 3 เดือนจ่าย
ระบบนี้จะมีปัญหา
เพราะถ้ามีใครรายใดรายหนึ่งเริ่มมีปัญหา สัญชาตญาณพ่อค้าจะทำงานทันที
ลูกค้าเก่ายังให้เครดิตอยู่
แต่จ่ายช้าเมื่อไรก็จะขอลดระยะเครดิตลง
ในขณะที่ลูกค้าใหม่ ถ้าไม่เคยค้ากันมาก่อน
“เงินสด” อย่างเดียว
ถ้าระบบเครดิตมีปัญหา เศรษฐกิจจะสะดุดทันที เพราะสินค้าที่เคยหมุนเวียนตลาด นอกเหนือจาก “เงินสด” ที่ซื้อของแล้ว
“เครดิต” ที่แปะโป้งกันก่อนก็จะทำให้มีสินค้าในระบบเพิ่มขึ้น
แต่พอระบบเครดิตมีปัญหา การซื้อสินค้าก็จะลดลงทันที
ในฐานะสื่อมวลชนที่เคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายรอบ ตั้งแต่ “ต้มยำกุ้ง” เป็นต้นมา
รู้เลยว่าถ้าเกิดปัญหาความไว้เนื้อเชื่อใจทางการค้าเมื่อไร จะเกิดปรากฏการณ์ “โดมิโน” ขึ้น
สมัยก่อนพอโครงการอสังหาริมทรัพย์มีปัญหา ก็จะลามไปยังผู้รับเหมาก่อสร้าง และต่อเนื่องไปถึงร้านขายวัสดุก่อสร้าง
จากนั้นก็ลามไปเรื่อย ๆ แบบหยุดไม่อยู่
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายครั้งแล้ว
ไม่ใช่แค่เฉพาะประเทศไทย
ล่าสุดที่เมืองจีนเศรษฐกิจที่มีปัญหาในวันนี้ก็มีจุดเริ่มต้นที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ต้องบอกก่อนว่าวันนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยยังไม่มีปัญหานะครับ
ยังแข็งแกร่งอยู่
แต่คงต้องเตือนว่าอย่าปล่อยให้ปัญหาเรื่อง “ดอกเบี้ยสูง” จนคนกู้แบงก์ไม่ผ่านดำรงอยู่ยาวนานเกินไป
เดี๋ยว “งู” มันจะกิน “หาง” ตัวเอง
ตอนนี้ถ้าสื่อเช็กข้อมูลเรื่อง “เช็คเด้ง” ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
หากมีอัตราการเด้งสูงขึ้นผิดปกติ
ก็แสดงว่าระบบเครดิตกำลังมีปัญหาแล้ว