ปัญหา “คางดำ”

fish
คอลัมน์ : Market-think
ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์

ยิ่งติดตามข่าว “ปลาหมอคางดำ” ยิ่งตกใจ

ใครจะไปนึกว่าปลาหมอคางดำจะน่ากลัวขนาดนี้

– ออกไข่ทุก 22 วัน

– ตัวผู้จะอมไข่ไว้ ทำให้อัตราการรอดตายของลูกปลาสูงถึง 90%

– ลำไส้ยาวกว่าตัว ปลาพันธุ์นี้จึงกินไม่หยุด และกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

– ปรับตัวได้ดีทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย

ADVERTISMENT

แต่ใครจะไปนึกว่า “ปลาหมอคางดำ” จะแพ้ “น้ำดำ” ในคลองแสนแสบ 555

การแพร่พันธุ์ของ “ปลานักล่า” ตัวนี้ส่งผลสะเทือนต่อระบบนิเวศของลำคลอง และแม่น้ำในเมืองไทยอย่างรุนแรง

ADVERTISMENT

ในมุมธุรกิจ ปลาหมอคางดำมีคุณสมบัติหลายอย่างที่น่าพัฒนาให้เป็น “ปลาเศรษฐกิจ”

เพราะแพร่พันธุ์ได้เร็วมาก อดทนต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป

ถ้าสามารถพัฒนาสายพันธุ์ให้มีเนื้อเยอะ ๆ รสชาติดี

จะเป็นปลาเศรษฐกิจได้เลย

ไม่แปลกที่ “ซี.พี.” จะนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาเพื่อทำวิจัยในปี 2553

ก่อนที่จะล้มเลิกการวิจัยไปในต้นปี 2554 เพราะปลาที่นำเข้าตายไปเยอะมาก

เขาบอกว่าได้แจ้งเรื่องนี้กับกรมประมงไป และมีการฝังกลบเรียบร้อย

แต่ทางกรมประมงบอกว่าไม่มีหลักฐานเรื่องนี้เลย

เรื่องนี้จึงเป็น “ปริศนาธรรม” ที่สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของ ซี.พี.สูงมาก

ถ้าไม่มีการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดและโปร่งใส

“ความเชื่อ” นี้ก็จะกระจายไปทั่วสังคมไทย

ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงควรตั้งคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้

เพราะปัญหาปลาหมอคางดำกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับวาระแห่งชาติแล้วในวันนี้

ถ้าผลออกมาว่า ซี.พี.เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซี.พี.ก็ต้องรับผิดชอบ

แต่หากผลการสอบสวนยืนยันว่า ซี.พี.ไม่เกี่ยว

ก็จะช่วยล้างมลทินให้กับ ซี.พี.

เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน แค่ทำทุกอย่างให้ตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง

แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราคงต้องมองไปข้างหน้า

รัฐบาลจะแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของ “ปลาหมอคางดำ” ได้อย่างไร

ตอนนี้แผนระยะยาว คือ การส่งปลาหมอคางดำที่ตัดต่อพันธุกรรมให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำในลำน้ำ ให้ลูกออกมาเป็นหมัน

แพร่พันธุ์ต่อไม่ได้

ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ การรับซื้อปลาหมอคางดำ กิโลกรัมละ 15 บาท

และส่งปลากะพงยักษ์ “นักล่า” ที่ตัวใหญ่กว่าลงไปจัดการเจ้าปลาหมอคางดำ

แต่อีกวิธีการหนึ่ง คือ การคิดแบบสร้างสรรค์ว่าจะนำปลา
หมอคางดำมาเป็นวัตถุดิบทำอะไรได้บ้าง

ไม่ว่าจะเป็นการทำปุ๋ย หมักเป็นปลาร้า

หรือรณรงค์ให้คนกินปลาหมอคางดำให้เป็นวาระแห่งชาติ

ทำให้ “ปัญหา” เป็น “เรื่องสนุก” ไปเลย

ผมเชื่อว่าคนไทยมีไอเดียดี ๆ เรื่องการกินเยอะมาก

แม้เจ้าปลาหมอพันธุ์นี้รสชาติจะไม่อร่อยมาก

แต่ทำดี ๆ ก็น่าจะอร่อยได้

โลกนี้ไม่มีอะไรที่ไร้ค่า

นาน ๆ จะมีโปรตีนราคาถูกแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองไทย

รัฐบาลจะเล่นใหญ่แบบให้เชฟดัง ๆ มาคิดเมนูปลาหมอคางดำ

ให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารมาคิดต่อ จะทำเป็นปลากระป๋องได้ไหม เป็นขนมอบกรอบได้หรือเปล่า ฯลฯ

หรือคิดเครื่องอบกรอบปลาหมอคางดำขึ้นมา

กระทรวงพาณิชย์อาจแนะนำชาวบ้านให้ทำเมนูง่าย ๆ เช่น ปลาแดดเดียว ปลาป่น ฯลฯ

ช่วยประสานห้างหรือร้านค้าต่าง ๆ ในการกระจายสินค้า

จัดแข่งขันเมนูเด็ดทุกจังหวัดที่ปลาหมอคางดำระบาด

แค่คิดก็สนุกแล้วครับ

เราสามารถเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหา

แต่สนุกได้

และหากทำดี ๆ ก็อาจเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาอื่น ๆ ต่อไป