ระเนระนาด

ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อม ครม.ทั้งคณะ ด้วยคะแนน 5 : 4
เศรษฐา ทวีสิน
คอลัมน์ : Market-think
ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์

ถือว่าเป็นคำตัดสินที่พลิกความคาดหมายอย่างแรง

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อม ครม.ทั้งคณะ ด้วยคะแนน 5 : 4

เพราะส่วนใหญ่คาดว่าคดีนี้ “เศรษฐา” จะรอด

ไม่เหมือนคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ส่วนใหญ่คาดว่ายังไงก็ยุบแน่นอน

ในมุมทางเศรษฐกิจ คดีของ “เศรษฐา” ส่งผลสะเทือนมากกว่าการยุบพรรคก้าวไกล

เพราะ “ก้าวไกล” เป็นแค่ฝ่ายค้าน

ADVERTISMENT

แม้จะชนะเลือกตั้งได้ ส.ส.มากที่สุดก็ตาม

แต่ “เศรษฐา” นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร

ADVERTISMENT

เมื่อพ้นจากตำแหน่ง นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่กำลังเดินหน้าไม่ว่ากระทรวงใดก็หยุดชะงักไปทันที

นี่คือ สิ่งที่นักธุรกิจไม่ชอบที่สุด

เขาชอบรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ยิ่งอยู่นานยิ่งดี นโยบายจะไม่ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

ส่วนนักลงทุนต่างชาติยิ่งชัดเจนที่สุด

เจอพลานุภาพของคน 9 คน ที่มีอำนาจมากกว่า “ประชาชน” ทั้ง 
2 คดี เขาก็หนีเลย

ในทางการเมือง เมื่อคุณเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยก็เดินเกมเร็วทันที

เพราะรู้ว่า “อำนาจ” นั้นน่ากลัว

เมื่อเปลี่ยนมือไปต้องดึงกลับมาให้เร็ว

ไม่เช่นนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางการเมืองขึ้นมาได้

“เพื่อไทย” ใช้เวลาแค่ 2 วัน เสนอชื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เข้าที่ประชุมสภา

โดยพรรคร่วมรัฐบาลเดิมยังยกมือให้ไม่เปลี่ยนแปลง

เบื้องต้นมีการต่อรองกันว่าทุกพรรคยังคุมกระทรวงเดิม เพื่อให้นโยบายทุกอย่างเดินต่อไปเหมือนเดิม

ทำให้ “รอยต่อ” ระหว่างรัฐบาลสั้นที่สุด

แม้รัฐบาลจะประกอบด้วยพรรคการเมืองเดิม และรัฐมนตรีคนเดิมเป็นส่วนใหญ่

เปลี่ยนแค่ตัวนายกรัฐมนตรี

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม และเป็นปัญหาใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาล ก็คือ “ความเชื่อมั่น”

ตอนที่พรรคเพื่อไทยข้ามขั้วมาร่วมกับพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ฯลฯ

ทุกคนพูดถึง “ดีลลับ”

และคิดว่าเกมแห่งอำนาจเปลี่ยนไปแล้ว

ยิ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” กลับเมืองไทย และได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษเหลือ 1 ปี

พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องเข้าคุมขังแม้แต่นาทีเดียว

ยิ่งทำให้คนมั่นใจว่า เขาและพรรคเพื่อไทย ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้มีอำนาจ

แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญฟัน “เศรษฐา” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“ความเชื่อมั่น” ในพลังใต้ปีกก็เปลี่ยนไป

พรรคเพื่อไทยนอกจากสูญเสียมวลชนที่เป็นแนวร่วมเดิมหลังจากพลิกขั้วมาจับมือกับรัฐบาลเดิมแล้ว

วันนี้ยังสูญเสีย “ความเชื่อมั่น” ว่าได้รับการสนับสนุนจาก “มือที่มองไม่เห็น” อีก

แม้พรรคเพื่อไทยยังรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ แต่อำนาจต่อรองทางการเมืองก็ลดน้อยลง

นี่คือ “ความจริง” ทางการเมืองในวันนี้

และส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยนับจากนี้เป็นต้นไป