ทำหรือไม่ทำอะไร

business
คอลัมน์​ : Market-think
ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์

วันก่อนมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง

เขาอยากให้วิจารณ์บริษัทของเขาแบบตรงไปตรงมา

ถ้ามองในมุมธุรกิจ การวิจารณ์ใครแบบตรงไปตรงมา คือการทำการค้าที่มีแต่ “ขาดทุน”

“คำชม” นั้นเป็นคำพูดที่ไพเราะ พูดไปก็มีแต่ “กำไร”

แต่ “คำติ” นั้นไม่ค่อยเสนาะหู

พูดไปมีโอกาสสูงมากที่จะ “ขาดทุน”

Advertisment

และถ้าเลวร้ายมากอาจถึงขั้นขาดทุนยับเยิน

เพราะไม่ค่อยมีคนชอบ “คำติ” หรอกครับ

Advertisment

ส่วนใหญ่ชอบ “คำชม”

ไม่แปลกที่คนใหญ่คนโตพอมีตำแหน่งหรืออำนาจมักจะเสียคน

เพราะคนรอบข้างไม่กล้าพูดตรง ๆ

เลือกเล่าแต่เรื่องดี ๆ

เรื่องไม่ดีไม่เล่าให้เจ้านายฟัง

กลัวเจ้านายไม่โปรด

ตอนที่ผู้บริหารท่านนั้นบอกว่าอยากให้วิจารณ์แบบตรงไปตรงมา

ผมก็คิดอยู่นานพอสมควร

เราควรจะค้าขายแบบขาดทุนดีไหม ?

ลองแย็บไปนิด ๆ เขาก็มีท่าทีเปิดรับดี

หมัดตรง ก็ยังรับได้

โอเค งั้นปล่อยหมัดฮุกเลยก็แล้วกัน

ถือเป็นการวิจารณ์แบบกัลยาณมิตร

บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ในเชิงธุรกิจไม่มีปัญหาอะไร

เป็นบริษัทมืออาชีพ ระบบดี กำไรดี เติบโตดี

แต่นั่นคือมุมธุรกิจ

ปัญหาใหญ่ของเขาเป็นเรื่องภาพลักษณ์องค์กร

เพราะความเป็นยักษ์ใหญ่ทำให้คนมองว่า “กินรวบ”

ถ้าอธิบายแบบไม่มีอคติ อาจเป็นเพราะเจ้าของเป็นคนกระหายโอกาส

เห็น “โอกาส” เมื่อไรก็กระโดดลงไปทำทันที

ไม่ได้คิดว่าจะกระทบกระเทือนรายเล็กหรือเปล่า

ในมุมของตลาดเสรี ที่ใครจะลงมาแข่งก็ได้

เขาก็ไม่ผิด

แต่บังเอิญเขาใหญ่เหลือเกิน และมีตาทิพย์เห็นโอกาสอยู่เป็นประจำ

นี่ก็น่าทำ

โน่นก็น่าทำ

คนที่ได้รับผลกระทบจึงมีจำนวนมาก และพอบอกต่อไปเรื่อย ๆ ภาพลักษณ์องค์กรก็เสียหาย

ผมเสนอเขาเล่น ๆ ว่า ต่อไป KPI ขององค์กรอาจต้องเพิ่มมิติมากกว่าเดิม

อย่ามองแค่ในมุมธุรกิจ

หรือตัวเลขกำไรอย่างไร

ต้องมองแบบ 360 องศา

คิดในมิติทางสังคม และภาพลักษณ์องค์กรด้วย

ต้องคิดแบบ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ที่บอกว่า “โอกาส” ที่เข้ามานั้นเหมือนลูกเบสบอล

เราไม่จำเป็นต้องตีทุกลูกที่ผ่านหน้าไป

แต่เลือกตีลูกที่เรามั่นใจจริง ๆ ไม่กี่ลูกก็พอ

“จะทำอะไร” ไม่สำคัญเท่ากับ “ไม่ควรทำอะไร”

หรือลองคิดตั้งเป้าหมายขององค์กรใหม่

ภายในเวลา 2 ปี เราจะทำบริษัทให้เป็น 1 ใน 10 บริษัทที่นักศึกษาจบใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุด

เป้าหมายแบบนี้จะกำหนดทิศทางบริษัทในรูปแบบใหม่ทันที

ผู้บริหารจะคิดแค่ “กำไร” ไม่ได้

เพราะ “กำไร” หรือความยิ่งใหญ่ไม่ได้เป็นเสน่ห์ที่จูงใจคนรุ่นใหม่ให้อยากมาทำงานด้วย

“ภาพลักษณ์” ขององค์กรต่างหากที่เป็น “แม่เหล็ก”

เป็นบริษัทที่เวลาเพื่อนถามว่าทำงานที่ไหน

เขาจะยืดอกตอบแบบเท่ ๆ ว่าทำงานที่นี่

ถ้าเรามีเป้าหมายแบบนี้

การตัดสินใจว่า “จะทำอะไร”

จะเปลี่ยนไปจากเดิม