
คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
หลังจากรถอีวีของจีนเริ่มบุกตลาดเมืองไทยอย่างจริงจังเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา
ภูมิทัศน์ของสมรภูมิรถยนต์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
จากเดิมที่เราคุ้นเคยกับการทำตลาดของรถยนต์น้ำมันญี่ปุ่นมานาน
วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในอดีต ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่น้อยมาก
ออปชั่นต่าง ๆ ก็ให้ไม่เต็มที่
ที่สำคัญทุกค่ายจะค่อนข้างระมัดระวังที่จะใช้กลยุทธ์ตัดราคา
เพราะกลัวตลาดพัง
โดยเฉพาะตลาดรถมือสอง
“รถญี่ปุ่น” โดยเฉพาะค่ายใหญ่อย่างโตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ ฯลฯ ราคารถมือสองจะค่อนข้างมีเสถียรภาพ
ราคาลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
รถยุโรปอาจจะลดแรงกว่า
ส่วนหนึ่งเพราะอะไหล่รถยุโรปแพงกว่า
แต่ทันทีที่ค่ายรถอีวีจากจีนบุกตลาดเมืองไทย
เริ่มจากนำเข้าจนมาตั้งโรงงานผลิตในเมืองไทย
กลยุทธ์การตลาดที่เขาใช้แตกต่างจากกลยุทธ์เดิม ๆ ที่คนไทยคุ้นชิน
นั่นคือ ใช้กลยุทธ์ตัดราคาแบบไม่สนภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น
ไม่ใช้ลดราคาทีละนิดนะครับ
ลดกันทีเป็นแสน
รถรุ่นเดียวกันเมื่อวานราคา 900,000 บาท
วันนี้ลดราคาเหลือ 7 หรือ 800,000 บาท
หั่นราคาแบบไม่สนใจความรู้สึกของลูกค้าเก่าเลย
ผมเพิ่งเจอนักวิชาการคนหนึ่ง เขากำลังทำวิจัยเรื่องตลาดรถยนต์อีวีกับรถยนต์น้ำมัน
ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารค่ายรถทั้งจีนและญี่ปุ่น
มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ผู้บริหารค่ายรถจีนที่กำลังเปิดโรงงานประกอบในเมืองไทย
รู้ไหมครับว่าเขากลัวอะไร
ไม่ได้กลัวคู่แข่งที่เป็นค่ายรถยนต์จีนหรือญี่ปุ่นนะครับ
แต่เขากลัวบริษัทแม่ที่เมืองจีน
กลัวว่าจะส่งรถที่ประกอบในเมืองจีนเข้ามาตัดราคารถที่ประกอบในเมืองไทย
บริษัทแม่ตัดราคาบริษัทลูก
ผมถามย้ำ 2 ครั้งว่าเป็นเรื่องจริงหรือ
เขาก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
ครับ หลักคิดทางธุรกิจที่ค่ายรถยนต์จีนเป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ใหม่ไปเรื่อย ๆ
ผลกระทบอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ระบบสินเชื่อรถยนต์
ตอนนี้แบงก์ค่อนข้างระมัดระวังในการปล่อยกู้ให้กับรถยนต์อีวี
เพราะในอดีตตอนที่รถน้ำมันครองตลาด ค่ายรถญี่ปุ่นไม่ค่อยเล่นสงครามราคา
ทำให้ตลาดรถมือสองมีเสถียรภาพ
แต่รถอีวีจีนเข้ามาด้วยกลยุทธ์ตัดราคา
เมื่อ “รถมือหนึ่ง” เล่นกันขนาดนี้
ตลาด “รถมือสอง” จะเหลืออะไร
สมมุติว่ารถมือหนึ่งรุ่นนี้เมื่อต้นปีขาย 1 ล้านบาท
แบงก์อาจจะปล่อยกู้ 800,000 บาท คนซื้อออก 200,000 บาท
แต่พอสิ้นปี ราคารถใหม่ลดเหลือ 800,000 บาท
รถคันเดิมที่แบงก์ปล่อยกู้ไปและมีอายุการใช้งานไปแล้ว 1 ปี
คิดว่า “รถมือสอง” คันนี้ราคาจะเหลือเท่าไรครับ
เมื่อรถมือหนึ่งยังเหลือแค่ 800,000 บาท
“รถมือสอง” 1 ปี น่าจะเหลือแค่ 600,000 บาท
ต่ำกว่ามูลหนี้ที่เหลืออยู่
นี่คือ ปัญหาใหญ่ของแบงก์เจ้าหนี้
เพราะถ้าลูกหนี้คนไหนคืนรถ โดยเป็นลูกหนี้ที่ไม่เคยค้างชำระ
เขาจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
แต่แบงก์จะรับเละเพราะต้องเอารถคันนี้ไปขายต่อ
ซึ่งสถานการณ์ธุรกิจรถยนต์อีวีมือสองในเมืองไทยตอนนี้ย่ำแย่มาก
แบงก์มีรถจอดทิ้งไม่รู้เท่าไร
ถ้าไม่เร่งแก้ปัญหา ปัญหาของธุรกิจรถยนต์ก็จะเหมือนบ้าน
คือ แบงก์จะแก้ปัญหาด้วยการไม่ปล่อยสินเชื่อรถยนต์
เพราะแบงก์เขาอยากได้เงินต้นและดอกเบี้ย
ไม่ได้อยากได้ “รถมือสอง” เพิ่ม