การตัดสินใจซื้อ เคเอฟซี 240 สาขา มูลค่า 11,300 ล้านบาท ของ เจริญ สิริวัฒนภักดี ถือเป็นเพียงอีกก้าวหนึ่งในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเขา…เท่านั้นเอง
จะว่าแปลกก็ไม่แปลก เพราะ เจริญ อยู่ในสถานะที่ ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า เงินสด ของเขาเยอะจริงครับ และยิ่งในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ที่ รายย่อยล้มตายไปเรื่อย ๆ แบงก์ก็มีเงินล้นคลัง ไม่รู้จะปล่อยกู้ใครดีที่ไม่ก่อ NPL รายใหญ่ เท่านั้นเป็น คำตอบ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
- “ทอง” รับข่าวร้ายดันราคาขาขึ้น บาทอ่อนค่าจ่อทะลุ 37 บาท
ผมเชื่อว่ามหาเศรษฐีเครดิตดีทั้งหลายในเมืองไทย คงโดนแบงก์ต่าง ๆ สะกิดแล้วสะกิดอีก ช่วยมากู้หน่อย การซื้อ เคเอฟซี ของ เจริญ ครั้งนี้หลายคนอาจมองว่าเป็นการลงทุนที่สูงมาก เป็นหลักหมื่นล้านบาท แต่พอเหลือบดู กำไร ของ ไทยเบฟ แค่ไตรมาสแรกก็กำไร 7,700 ล้านบาท เท่ากับว่าการซื้อ เคเอฟซี ก็เท่ากับเจียดเงินกำไรแค่ครึ่งปีมาจ่ายเท่านั้นเอง แทนที่จะฝากแบงก์กินดอกเบี้ย
แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ เจริญ ได้อะไรจากการซื้อ เคเอฟซี บ้าง ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า แบรนด์ เคเอฟซี มีพลังในตัวเองอยู่แล้ว แค่ซื้อมาเพื่อขยายร้านไปเรื่อย ๆ ก็ถือว่าคุ้มแล้วสำหรับคน เงินเย็น อย่าง เจริญ และเมื่อผนวกรวมกับอาณาจักรอาหารและเครื่องดื่มของ เจริญ หมากเกมนี้จึงไม่ใช่แค่ 1+1 = 2 แต่ผลลัพธ์ต้องมากกว่านั้น
ปัจจุบัน เจริญ มีร้านอาหารในเครือโออิชิทั้งหมดประมาณ 200 กว่าสาขา ทั้งโออิชิบุฟเฟต์, โออิชิราเมน, ชาบูชิ ฯลฯ การซื้อ เคเอฟซี ก็เท่ากับได้ร้านอาหารเพิ่มอีก 240 สาขา รวมเป็นประมาณ 500 สาขา น่าจะถือเป็นเครือข่ายร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ที่สำคัญโนว์ฮาวการทำร้านอาหารของ เคเอฟซี ถือเป็นโนว์ฮาวระดับโลก น่าเรียนรู้มาก เหมือนที่ เจริญ เคยเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์คาร์ลสเบอร์กในเมืองไทย ไม่นานเมืองไทยก็มี เบียร์ช้าง ถ้านำความรู้ที่ได้จาก เคเอฟซี มาปรับใช้ โออิชิ น่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย
และต่อไปอาจมีร้านอาหารแบบ ฟาสต์ฟู้ดแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา อาจจะในเมืองไทยหรือต่างประเทศ แต่อีกด้านหนึ่ง การมีร้านอาหารของตัวเอง จะทำให้สินค้าเครื่องดื่มของโออิชิ ไทยเบฟฯ และเอฟแอนด์เอ็น ได้ประโยชน์
เพราะนอกจากเป็นช่องทางการขายแล้ว ยังเป็นช่องทางให้ลูกค้าได้ทดลองชิมเครื่องดื่มของ เจริญ ถ้าสัญญาของ เคเอฟซี ไม่ได้บังคับว่าต้องเป็น เป๊ปซี่ ต่อไปเราอาจได้ดื่ม เอส หรือ โออิชิ ในร้านเคเอฟซี หรือมี เกี๊ยวซ่า เป็นอาหารเสริม
แต่คงไม่ถึงขั้นขายเบียร์หรือเหล้าในร้านอย่างที่หลายฝ่ายคิด เพราะจะเสียกลุ่มเป้าหมายครอบครัวและเด็กไป
มีบางคนถามว่า ที่ เจริญ ซื้อ เคเอฟซี เพราะเห็น แจ็ก หม่า ซื้อหรือเปล่า ผมชอบคำถามนี้มาก เพราะนึกไม่ถึง แต่น่าสนใจทีเดียว
ผมไม่คิดว่า เจริญ จะซื้อด้วยเหตุผลนี้ แบบว่าขนาด แจ็ก หม่า ยังซื้อเลย แสดงว่าเป็น ของดี ต้องซื้อบ้าง คุณเจริญคงซื้อด้วยเหตุผลทางธุรกิจล้วน ๆ คือ สามารถต่อยอดกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของตัวเองได้ และตัวธุรกิจก็เป็นธุรกิจที่ดีอยู่แล้ว
แต่พอ แจ็ก หม่า และ เจริญ มหาเศรษฐีของจีนและไทยซื้อ เคเอฟซี บางที เคเอฟซี อาจเอาเรื่องนี้ไปใช้เป็นแคมเปญในประเทศต่าง ๆ ได้ เวลาจะขายสาขาในประเทศต่าง ๆ
อยากให้คนรู้ว่าเป็น มหาเศรษฐี ต้องมี เคเอฟซี ถ้าไม่มี…ไม่ใช่ มหาเศรษฐี ตัวจริง