แค่ 6 โมงเย็น

คอลัมน์ Market-Think สรกล อดุลยานนท์

สถานการณ์วันนี้หลายคนนึกถึงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 อะไรที่เราเคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” มันก็ “เป็นไปได้”

ตอนปี”40 หลายบริษัทที่กู้เงินต่างประเทศและกำลังมีความสุขกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศ
แค่กู้เงินเมืองนอกแล้วมาฝากเงินที่เมืองไทยแค่นั้นก็กำไรแล้ว

แม้ภาวะเศรษฐกิจช่วงนั้นจะส่งสัญญาณฟองสบู่แตก หลายบริษัทก็เริ่มวางแผนตั้งรับ คิดแบบตั้งรับในจุดต่ำสุดแล้ว
แต่สุดท้ายก็ยังต่ำไม่พอ

“ความจริง” โหดร้ายกว่านั้น

นักธุรกิจใหญ่ ๆ หลายคนคงจำได้ที่หนี้เงินกู้ของเราจาก 1,000 ล้านบาท กลายเป็น 2,000 ล้านบาททันทีเมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท

พนักงานบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้ชื่อว่าเป็น “มนุษย์ทองคำ” โบนัสกันปีละ 12-24 เดือน ใคร ๆ ก็อิจฉา ปี”40 เหมือน “สึนามิ” เลยครับกวาด “มนุษย์ทองคำ” ราบเป็นหน้ากลอง

เหมือนกับวันนี้เลยครับ ใครจะไปนึกว่า “นักบิน-แอร์โฮสเตส” จะอยู่ในภาวะแบบนี้ สายการบินยกเลิกไฟลต์บินเกือบหมด บางแห่งบอกว่าสู้ได้อีก 6 เดือน บางแห่งเห็นตัวเลขก็รู้ว่าล้มละลายแล้ว

“ความไม่แน่นอน” คือ “ความแน่นอน” จริง ๆ

ผมเชื่อว่าหลายบริษัทก็วางแผนรับมือกับเศรษฐกิจที่ซบเซาระดับ “เผาจริง” กันมาพักหนึ่งแล้ว

คิดในจุดต่ำสุดเหมือนปี 2540 แต่วันนี้ก็พบว่า “ต่ำ” ไม่พอ ถ้าเคยคิดว่าเงินสดในกระเป๋าจะสามารถอยู่ได้ 1 ปี
คิดแบบต่ำสุดแล้ว คือ รายได้หายไป 30%

แต่ใครจะไปนึกว่าไวรัสโควิด-19 จะทำให้หลายบริษัทรายได้หายไป 90% หรือ 100%

แผนตั้งรับที่คิดไว้ระเนระนาดเลยครับ บางบริษัทเหลือเงินที่จะสู้ต่อเพียงแค่ 3 เดือน “เอสเอ็มอี” หลายแห่งเป็นแบบนี้จริง ๆ

ลองคิดถึงร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีสาขาส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์การค้าหรือดิสเคานต์สโตร์ เจอมาตรการปิดห้างเข้าไป
แม้จะบอกว่าจะปิดประมาณ 20 วัน แต่ทุกคนก็อ่านออกว่านานกว่านั้นแน่นอน

รายได้ทั้งหมดหายวับไปกับตา เจอสต๊อกสินค้าที่สั่งไว้ล่วงหน้าอีก เงินเดือนที่ต้องจ่ายพนักงานทุกเดือนอีก
ตอนนี้กลายเป็นบริษัทใช้มาตรการลดเงินเดือนพนักงานลง บางแห่งเริ่มจากผู้บริหารก่อน

บางที่ก็ลดกันหมดทั้งบริษัท พนักงานรายวันเลิก พนักงานที่อยู่ระหว่างทดลองงาน…เลิก

ถามว่าจะหนักกว่านี้ไหม ตอบได้เลยว่าหนักกว่านี้แน่นอน

ถ้าเปรียบกับ “ความมืด” เดือนนี้แค่สลัว ๆ ประมาณ 6 โมงเย็น เดือนหน้าเมษายน ได้เห็นดวงดาวแน่นอน

เท่าที่ผมได้คุยกับเจ้าของบริษัทหลายแห่ง  เดือนหน้าน่าจะมีการตัดสินใจครั้งใหญ่เรื่องบุคลากร  ฟังแล้วหดหู่มากเลยครับ

นี่คือ “สึนามิ” อีกลูกหนึ่ง

จากปัญหาเศรษฐกิจจะกลายเป็นปัญหาสังคม และจะบานปลายเป็นปัญหาการเมืองหรือเปล่า ไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ

ผมเข้าใจเจ้าของกิจการก็ต้องยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แต่ในฐานะอดีตพนักงานประจำ และเคยเป็นผู้บริหารที่ต้องจิ้มคนออก

ผมรู้เลยว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ทั้งคนที่ต้องเลือก และคนที่ถูกเลือก

ผมนึกถึงคำพูดของ “สันติ ภิรมย์ภักดี” เมื่อปี 2540 ตอนที่มีผู้บริหารเสนอเรื่องมาตรการลดคน

เขาถามผู้บริหารในห้องว่าตอนนี้ไปประชุมที่เชียงใหม่เดินทางอย่างไร

“ไปเครื่องบินครับ”

คุณสันติบอกสั้น ๆ ว่าถ้าผู้บริหารของเรายังไม่ถึงขั้นต้องนั่งรถไฟไปประชุมที่เชียงใหม่ ไม่ต้องพูดเรื่องลดคน
ครับ ช่วงวิกฤตแบบนี้พิสูจน์ใจคนได้ดี

มาตรการลดคนไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ก่อนจะถึงวินาทีที่จะตัดสินใจ สบตาลูกน้องที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันสักครั้ง

ถ้าเงินในกระเป๋าของเราที่เคยสั่งสมไว้ตอนพนักงานเหล่านั้นทำกำไรให้บริษัทยังพอมี ดึงเวลาอีกนิด ให้เวลาเขาเตรียมตัวสักหน่อย สบตาเขาแล้วค่อยตัดสินใจ