ข่าวดี

market-think สรกล อดุลยานนท์


ตอนนี้ผมพยายามมองหา “ข่าวดี” ของเศรษฐกิจไทย เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน 2 แบงก์ใหญ่เพิ่งออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ที่เรียกกันว่า “หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์” คือ ไม่มีกำหนดเวลาไถ่ถอน แต่จ่ายดอกเบี้ยสูง

คนที่ออกหุ้นแบบนี้ได้ ต้องเป็นบริษัทหรือสถาบันการเงินที่เครดิตดีมาก นักลงทุนมั่นใจว่าจะอยู่รอดปลอดภัยแน่นอน
แม้จะไม่กำหนดเวลาชำระคืน แต่ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น ธุรกิจกำไรดี รับรองว่าทุกแบงก์หรือบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้นจะรีบไถ่ถอนคืนทันที เพราะไม่มีใครอยากจ่ายดอกเบี้ยสูง ๆ

นักลงทุนหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ต้องเป็นรายใหญ่ที่มีเงินสดเหลือเยอะ เปลี่ยนจากฝากแบงก์มาซื้อหุ้นกู้ตัวนี้ ผลตอบแทนดีกว่าเยอะ

หรือบางทีเจ้าของกิจการก็ซื้อเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่ากิจการของตัวเองเป็นอย่างไร เอาเงินมาซื้อหุ้นกู้กินดอกสูง ๆ ดีกว่าฝากแบงก์

ล่าสุดแบงก์กรุงเทพออกหุ้นกู้ตัวนี้ 750 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5%
ส่วนแบงก์กสิกรไทยออกหุ้นกู้ 500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 15,300 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5.275%

ผู้บริหารแบงก์กรุงเทพให้เหตุผลว่า เป็นการระดมเงินมาตุนเป็นทุนสำรองไว้ก่อน แม้ว่าทุนสำรองที่มีอยู่จะพอเพียง
แต่เรื่องแบบนี้ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าเอ็นพีแอลจะบานไปถึงไหน

เขาบอกว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวน่ากลัวที่สุด ผู้บริหารแบงก์กรุงเทพเชื่อว่า กว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นจนอยู่ในระดับก่อนโควิด ต้องใช้เวลา 2 ปี หรือ 2 ปีครึ่ง

ครับ การที่ 2 แบงก์ใหญ่ยอมออกหุ้นกู้ จ่ายดอกเบี้ยสูง ๆ ระดมเงินรวมกันถึง 38,000 ล้านบาท มากองไว้ที่หน้าตักก่อนแบบนี้แสดงว่าเศรษฐกิจไทยสาหัสกว่าที่คิด

รู้ ๆ กันอยู่ว่าการพักชำระหนี้จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคมนี้ ใครรอดหรือไม่รอดก็จะได้เห็นกัน

นี่คือสัญญาณจาก 2 แบงก์ใหญ่ที่ทุกคนต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ

ส่วนทางด้านการเมือง หลังจากรัฐบาลสลายการชุมนุมของนักศึกษาที่หน้าทำเนียบรัฐบาล และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแทนที่ทุกอย่างจะสงบอย่างที่คิด ปรากฏว่ากระแสการต่อต้านแบบไม่กลัวภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้นทุกจุด

หลายมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด “ม็อบ” เกิดขึ้นพรึ่บพรั่บ ใน กทม. คนมารวมตัวที่แยกราชประสงค์แบบไม่กลัวตำรวจเลย

ที่น่าสนใจคือ เด็กนักเรียนและนักศึกษาเยอะมาก “ม็อบ” แบบไม่มี “หัว” น่ากลัวนะครับ ผมเชื่อว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองจะบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความขัดแย้งระหว่างเจเนอเรชั่น ผู้ใหญ่กับเด็ก คิดแตกต่างกันมาก

นี่คือ ความขัดแย้งที่ไม่รู้ว่า “จุดจบ” อยู่ที่ไหน เศรษฐกิจก็แย่ การเมืองยิ่งหนักกว่า มองไปทางไหนก็หา “ข่าวดี”
ไม่เจอเลย ไม่มีข่าวอะไรชุ่มชื่นหัวใจ

จนวันก่อน น้องคนหนึ่งโพสต์ข้อความในสเตตัสของเขา อ่านแล้วค่อยรู้สึกดีหน่อย เขาเริ่มต้นบอก “ข่าวร้าย” ก่อน “ข่าวดี”


“ข่าวร้ายคือ เศรษฐกิจปีนี้แย่มาก ข่าวดีคือ มันจะดีกว่าปีหน้า” พออ่านซ้ำอีกครั้ง หัวเราะแบบน้ำตาตกในเลยครับ